Tuesday, October 23, 2012

ปัญญาชนก้นครัว ตอนที่ 1


 ปัญญาชนก้นครัว ตอนที่ 1
     
       กลางทิวทัศน์สวยงามบรรยากาศแสนโรแมนติก ช่วงเวลาตอนกลางวัน ม้าตัวนั้นกำลังวิ่งเหยาะย่างมาบนสนามหญ้าเขียวขจี หญิงสาวคนหนึ่งกำลังขี่ม้าด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ทันใดนั้น เสียง ‘พันตรีประจักษ์’ เรียกดังขึ้น
     
       “วนิดา...”
       หญิงสาวหยุดม้า ค่อยๆ หันมาหาเสียงเรียก เธอคือ ‘เอมิกา’ ที่คืดว่าตัวเองนั้นเป็น ‘วนิดา’
       ยิ้มหวานให้พันตรีประจักษ์ เอมิกาโบกมือทักทาย ประจักษ์ยิ้มหล่อบาดใจ เอมิกาขวยเขิน...อายม้วน แทบละลายไปตรงนั้น...เงยหน้าเห็นประจักษ์เดินมาหา เอมิกาใจเต้นไม่เป็นส่ำ
       ประจักษ์มายืนข้างม้า ยื่นมือออกไป วนิดา กำลังจะยื่นมือมาจับ แต่ทันใดนั้นม้าก็ยกขาหน้า ร้องเสียงดัง
       เอมิกาหน้าตาตื่น กรีดร้องดังลั่น “ว๊ายย”
     
       เสียงกรี๊ดนั้นดังต่อเนื่องกึกก้องไปทั่วห้องคอนโดของ เอมิกา พร้อมกับเอมิกาตกเตียงโครม!!!
       เอมิการ้อง “ว๊าย” สีหน้าเจ็บปวดแต่ยังไม่ยอมลืมตา ยื่นมือออกไปควานคว้า
       “คุณประจักษ์ขา คุณประจักษ์...!”
       เงียบ..เอมิกาเหมือนจะรู้ตัว...ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆ เห็นรูปเพื่อนๆ ถ่ายด้วยกันหลายรูป รูปคู่เธอกับปองเทพกอดคอในท่าทางสนิทสนมกอดคอ รูปเอมิกาทำหน้าประหลาดๆ กับปองเทพแปะอยู่บนผนัง
       เอมิกาได้สติเห็นชัดว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนก็เซ็งขึ้นมาทันที
       “ฝัน...! เฮ้อ” หญิงสาวเอาหมอนขึ้นมาขยำๆ ระบายอารมณ์ “เซ็งๆๆๆๆ”
       พลันเสียงมือถือดังขึ้น เอมิกาเอื้อมมือกดรับสาย ในทีท่าอารมณ์เสีย
       “ฮัลโหล” พอได้ฟัง ก็ตกใจตาเหลือกรีบลุกขึ้นยืนพรวด “เฮ้ย!! ฉันลืม จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
       เอมิการีบวางสายหันไปมองปฏิทินที่เขียนตัวโตๆ ว่า “งานปล่อยของ” เอมิกาตาลีตาเหลือกรีบลุก ออกไปทันที
     
       ป้าย “งานปล่อยของ ประจำปี ’ 55” ถูกแขวนอยู่อย่างโดดเด่นที่หน้ามหาวิทยาลัย เสียงเพลงจังหวะสนุกชวนคึกคักดังลั่น สาวๆ เชียร์ลีดเดอร์แหกปากกรี๊ด พวกเธอกำลังวาดลวดลายอย่างเมามันส์และน่าหวาดเสียว
     
       แว่น นักข่าวประจำมหา'ลัยที่บุคลิกดูเป็นคนโรคจิตหื่นปนนิดๆ วิ่งเข้าไปถ่ายรูปนักศึกษาสาวที่กำลังกระโดดแหกขาบนฟ้า แต่ถ่ายได้ไม่นานก็ถูกพลเมืองดีลากคอเสื้อออกไป
       กลุ่มนักเต้นสตรีทแด๊นซ์กำลังเต้นเข้ากับจังหวะเพลง กลุ่มนักดนตรีกำลังเล่นเครื่องเป่าทั้งทรัมเปต แซคโซโฟน ทรอมโบนกันอยู่ที่อีกมุม ส่วนอีกด้านก็มีคนเล่นละครใบ้กันอยู่ 2 คน
     
       อีกด้านหนึ่ง อภิเชษฐ์ กำลังโพสท่าอยู่กลางเวที น้ำมันมวยที่ทาตัวของเขาสะท้อนกับแสงทำให้ตัวมันเลื่อม สุดเซ็กซี่ อภิเชษฐ์วาดลวดลาย contemporary dance โดยใช้ร่างกายทุกส่วน เขาแสดงสีหน้าและอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ คนดูทั้งอึ้งและทึ่ง
       ที่ข้างเวที นงลักษณ์ ถือสคริปท์อยู่ในมือ มีหูฟังที่เสียบอยู่กับว. สีหน้าของเธอวิตกสุดๆ ก่อนจะหันไปทาง ชัยพร
       “ไอ้อภิเชษฐ์มันจัดเต็ม โอเว่อร์แอ็คขนาดนี้ พวกเราตายแน่” ชัยพรบอก
       “ไอ้ชัย! เวลาอย่างนี้ใครให้พูดคำว่า “ตาย” มันไม่เป็นมงคล ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้!” นงลักษณ์ว่า
       ทันใดนั้น ปองเทพ ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาแต่กลับสะดุดจนล้มโครม ปองเทพรีบลุกขึ้นยืน
       “มาแล้ว....”
       นงลักษณ์กับชัยพรดีใจ
       “เอมมาแล้วใช่มั้ยป่อง รีบให้มันไปแต่งตัวเลย” นงลักษณ์บอก
       “ไม่ใช่” ปองเทพพูด “ฉันเอง ฉันกลับมาแล้ว ฉันจะบอกว่าเอมกำลังมา”
       ชัยพรกับนงลักษณ์ตกใจ “กำลังมา!”
       ชัยพรตบเข่าดังฉาด “นั่นไง ขาดคำที่ไหน..ตาย!”
       นงลักษณ์พูดต่อ “ชัวร์!!”
       ทุกคนถอนหายใจด้วยความกลุ้ม
     
       เอมิกาในชุดนอนสะพายกระเป๋าใบโตวิ่งออกมากดลิฟต์ แต่ลิฟต์มาช้ามาก เอมิกายืนไม่เป็นสุข เธอร้อนรนกังวลใจจนตัดสินใจวิ่งไปที่บันไดหนีไฟ
     
       เอมิกาวิ่งลงมาจนถึงชั้น 1 แต่มีคนเข็นรถเข็นเดินผ่านมา เอมิกาเบรกไม่ทันเลยสปริงตัวกระโดดข้ามรถเข็นแล้ววิ่งออกไป คนๆ เข็นรถเข็นหันไปมองตามเอมิกาด้วยสีหน้าเหวอมาก
     
       เอมิกาวิ่งลงมาจนถึงหน้าคอนโดมิเนียม
       “ขับรถไปเองไม่ทันแน่ๆ” เอมิกาคิด “เอาไงดี”
       เอมิกาเดินออกมาเห็นแท็กซี่แล่นมาจึงรีบโบก แท็กซี่จอด เอมิการีบวิ่งไปขึ้นแท็กซี่ แล้วรถแท็กซี่ก็แล่นออกไป
     
       คนขับแท็กซี่เห็นเอมิกาผลุบๆโผล่ๆ อยู่ตรงเบาะหลังก็แปลกใจเลยขยับกระจกดูแล้วเขาก็แทบช็อค เพราะเธอกำลังเปลี่ยนเสื้อ เอมิกาเห็นคนขับแท็กซี่มองก็ตกใจ
       “ว๊าย!!”
       เอมิการีบเอาเสื้อมาปิด คนขับสะดุ้งตกใจจึงรีบหันขวับไปทำให้เสียจังหวะจนรถคันหลังบีบแตรดังลั่น คนขับรถรีบตั้งสติแล้วขับรถต่อ
     
       เอมิกาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยด้วยชุดสำหรับแสดง เธอมองไปรอบๆเห็นแต่รถและรถก็ติดมาก เอมิกาดูเวลา
       “ใกล้ถึงเวลาแล้ว”
       เอมิกากังวลใจมาก เธอหันไปมองหาทางหนีทีไล่รอบๆ แล้วก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาตามไหล่ทาง
     
       เอมิกาปิ๊งไอเดียแล้วก็ยิ้มออกมาทันที



       เอมิการีบวิ่งไปขวาง เธอยืนกางแขนหน้ารถมอเตอร์ไซค์ ลุงคนขี่มอเตอร์ไซค์เบรกจนหน้าแทบคะมำ
     
       “อีหนู...ดูถนนหน่อยสิ”
       เอมิกาไม่ตอบแต่กลับรีบขึ้นรถ
       “ไปโลดเลยลุง” เอมิกาบอก ลุงยังนิ่ง “ไปสิลุง”
       “ไปไหน?” ลุงถาม
       เอมิกานึกได้ก็ยิ้มขำ “เออ..จริง ลืมบอก...”
     
       มอเตอร์ไซค์แล่นไป เอมิกาที่อยู่ในชุดสำหรับแสดง กระโปรงพริ้วฟูฟ่อง แรงปะทะของลมทำให้เอมิกาต้องคอยจับหมวกจับกระโปรงเอาไว้ แล้วยังต้องจับกระเป๋าอีก เธออยู่ในสภาพที่ทุลักทุเลมาก เอมิกายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด
       “ฮัลโหล ป่องเหรอ”
       การแสดงของอภิเชษฐ์ที่หอประชุมใกล้จะจบ ปองเทพรับโทรศัพท์เอมิกา
       “เอม!....เอมอยู่ไหนแล้ว” ปองชัยถาม นงลักษณ์กับชัยพรหันมามอง “การแสดงจะเริ่มแล้วนะเอม”
       “ชั้นอยู่บนมอไซค์ปลี่ยนชุดแสดงมาเรียบร้อยแล้ว ขึ้นแสดงได้เลย จะรีบไปให้ทันนะ” เอมิกาวางสายทันที ลุงบิดคันเร่งจนรถมอเตอร์ไซค์ยกล้อแล่นออกไป เอมิกาแหกปากลั่นด้วยความตกใจ
       “เวยย!”
     
       ที่หอประชุม ปองเทพบอกเพื่อนๆ “เอมบอกว่านั่งมอไซด์วิน แต่งตัวมาเรียบร้อยแล้ว มาถึงแสดงได้เลย”
       นงลักษณ์กับชัยพรตกใจ “ห๊ะ!!”
       “ไอ้เอมมันใส่ชุดแสดง” นงลักษณ์ทวนคำ
       ชัยพรพูดต่อ “บนมอเตอร์ไซด์เนี่ยนะ?”
       นงลักษณ์กับชัยพรถึงกับเหวอ
     
       การแสดงของอภิเชษฐ์จบลง คนดูปรบมือชอบใจ ดร.เพี้ยนเดินขึ้นมาบนเวทีแล้วพูด
       “เชคสเปียร์กล่าวไว้ว่า “ละครคือกระจกส่องชีวิต” หรือพูดง่ายๆชีวิตนั้นหรือก็คือละครที่มีทั้งสุขเศร้าเคล้าน้ำตา ความน้ำเน่าในละครก็คือความน้ำเน่าของชีวิตจริง” ดร. เพี้ยนพูดไปก็บิ้วขึ้นไปเรื่อยๆ “ไอ้ที่คนดูออกมาด่าปาวๆว่าละครน้ำเน่า ก็เพราะชีวิตมันเน่า แล้วจะไปโทษว่าเป็นเพราะคนสร้างละครทำให้ละครออกมาน้ำเน่าไร้สาระได้ยังไง? ในเมื่อรอบข้างมีแต่เรื่องการเมืองเน่าเฟะ พ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ เมียมีชู้ ผัวเป็นตู๊ด!!”
       ดร.เพี้ยนพูดราวกับเป็นผู้นำประท้วง ทุกคนนั่งเงียบกริบ แต่ดร.เพี้ยนยังไม่รู้ตัวจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องขึ้นไปกระซิบให้”พอ” ดร.เพี้ยนจึงรู้ตัว เขาทำหน้าแหยแล้วรีบกระแอมก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
       “แฮ่ม..และลำดับต่อไปขอเชิญพบกับการแสดงของนักศึกษาปีที่ 4 คณะศิลปกรรม เอกการแสดงอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นนักเรียนที่ผมภาคภูมิใจ เชิญชมได้แล้วครับ”
       คนดูปรบมือ ดร.เพี้ยนลงมายืนข้างๆอภิเชษฐ์ที่ยืนอยู่ข้างเวที
       “มันน่าภูมิใจจริงๆกับการที่เราได้เห็นลูกศิษย์นำความรู้ที่เราสอนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ร่วมแสดงในโชว์ชุดนี้ด้วย” ดร. เพี้ยนว่า
       “การแสดงเด็กๆ” อภิเชษฐ์บอก ดร.เพี้ยนผงะ “ผมว่าด๊อกอย่าคาดหวังอะไรมากกับการแสดงชุดนี้เลยครับ”
       “ด๊อกเตอร์! เรียกให้มันเต็มๆคำ แล้วทำไมต้องห้ามไม่ให้ฉันคาดหวังด้วย”
       “ก็เพราะป่านนี้ยัยเอมิกายังไม่มาน่ะสิครับ”
       ดร.เพี้ยนอึ้ง
     
       มอเตอร์ไซด์ที่เอมิกานั่งแล่นเข้ามาในมหาวิทยาลัยด้วยความเร็ว คนมองกันเป็นแถว แว่นกำลังถ่ายรูปผู้หญิงอยู่หันมามองด้วยความสนใจ แว่นรีบยกกล้องขึ้นและรัวถ่ายภาพเอมิกา แว่นภาพรัวกดภาพแชะๆๆๆๆ เอมิกานั่งอยู่บนมอเตอร์ไซด์ กระโปรงของเธอปลิวสะบัด ผมละใบหน้าดูราวกับนางเอกละครกำลังควบอยู่บนหลังม้า แว่นถึงกับอึ้งในความงาม
       “เจ้าหญิงสิงห์นักบิด”
       แว่นมองตามด้วยความชื่นชมและตกหลุมรักตั้งแต่แรกแชะ
     
       ชัยพรกับนักแสดงคนอื่นที่อยู่บนเวทีเครียดเพราะเอมิกายังไม่มา แต่ทุกคนก็ตั้งใจทำกันอย่างเต็มที่ ดร.เพี้ยนยิ้มปลาบปลื้ม อภิเชษฐ์ก็ยิ้มเบือกเย็นเพราะรอดูความหายนะ
       ทุกคนแสดง ร้องเพลง และเต้นมารวมกัน นงลักษณ์ที่อยู่ข้างเวทียืนเครียด ปองเทพที่นั่งดูก็คอยชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่เอมิกาจะมาจนคนข้างๆรำคาญ
       นักแสดงบนเวทีแยกออกเป็นสองทางแล้วผายมือออกไปเพื่อเปิดตัวเอมิกา แต่เอมิกาก็ไม่ออกมา ดร.เพี้ยนอึ้ง อภิเชษฐ์ยื่นหน้ามาข้างๆ
       “ไงครับด๊อก?? ผมบอกแล้วว่าเอมิกาไม่มา...”
       ดร.เพี้ยนขยับแว่นเพราะเริ่มเครียด ทุกคนบนเวทีมีสีหน้าแย่มากและทำอะไรไม่ถูก นงลักษณ์ร้อนใจ แต่ก็ไม่แสดงออกมา ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของนงลักษณ์ก็สั่น นงลักษณ์หันไปดูแล้วรีบคว้ามากดรับ
       “อยู่ไหนแล้วไอ้เอม”
       เอมิกามาถึงที่หน้าหอแล้ว
       เอมิกาไม่ตอบแต่ถามกลับ “การแสดงถึงคิวไหนแล้วนง”
       “ถึงคิวแกพอดีเลย”
       เอมิการีบบอก “แกอยู่ข้างเวทีใช่มั๊ย ?” ฟังก่อนพูดต่อ “ดี แกมาเปิดประตูหลังเวทีให้ฉัน ฉันมาแล้ว !!”
       รถมอเตอร์ไซค์จอดเอี๊ยดด !! นงลักษณ์พูดด้วยความตกใจ “โอเคเพื่อน !!”
       นงลักษณ์รีบวิ่งมาเปิดประตูหลังผัวะ ทันใดนั้นเอมิกาก็วิ่งเข้ามาในชุดเจ้าหญิงแสนหรูไปที่หลังเวที นงลักษณ์ยิ้มพอใจ เอมิกาหันมายิ้มให้หนึ่งที นงลักษณ์พยักเพยิดให้ไปทางเวที เอมิกาหันไปแล้วก็รีบวิ่งไปที่เวทีทันที เอมิกาโผล่ออกมาที่บนเวที
       ปองเทพดีใจ “เอม!”
       ปองเทพดีใจมาก เอมิกาเล่นต่อได้อย่างแนบเนียน นงลักษณ์ทำท่าเยสด้วยความโล่งใจและดีใจสุดๆ ดร.เพี้ยนชอบใจสุดๆ จนถึงกับปรบมือสนั่นทำให้คนอื่นๆปรบมือตาม อภิเชษฐ์หัวเสียมาก เอมิการ่วมแสดงและเต้นกับเพื่อนๆจนจบเพลง ดร.เพี้ยนกับคนดูลุกขึ้นปรบมือ ยกเว้นอภิเชษฐ์คนเดียว
     
       จบการแสดง เอมิกากับชัยพรทำสีหน้าลัลล้าวิ่งออกมาหานงลักษณ์กับปองเทพที่รออยู่ข้างเวที
       “พวกแกสุดยอดมาก งดงามที่สุด” นงลักษณ์ชม
     
       “เพราะได้ผู้กำกับดีอย่างแก ถึงทำให้ทุกอย่างออกมาเพอร์เฟค” เอมิกาบอก



       เอมิกากับนงลักษณ์กรี๊ดกันเบาๆ แล้วสองสาวก็หันไปตีมือกับชัยพรและปองเทพด้วยความดีใจ อภิเชษฐ์เดินเข้ามาใกล้ เอมิกา ปองเทพ ชัยพร และนงลักษณ์ชะงักหันไปมอง อภิเชษฐ์เดินมาตรงหน้าเอมิกา
     
       “อย่าดีใจกันนัก การแสดงดาษๆ น่าเบื่อ”
       เอมิกา ปองเทพ ชัยพร และนงลักษณ์ไม่พอใจ
       “การแสดงของฉันสิของจริง เป็นการแสดงขั้นสูง ไม่ฉาบฉวย ไร้แก่นสาร เหมือนที่พวกเธอทำ และเพราะมีแต่คนคิดตื้นๆแบบพวกเธอ ละครถึงออกมาน้ำเน่า ประเทศชาติเราถึงไม่ไปไหนซะที!!”
       เอมิกาฉุนกึก “นี่! มันจะดูถูกกันเกินไปแล้วนะ”
       เอมิกากำลังจะเถียงกลับ แต่ดร.เพี้ยนเดินเข้ามาซะก่อน
       “ลูกศิกษ์ที่น่ารักของฉัน” ทุกคนหันไปหา “พวกเธอทำได้ดีมาก ดร.เพี้ยนชม ทุกคนจำต้องยิ้มรับ “โดยเฉพาะเธอแม่ชะเอม” ดร.เพี้ยนยกนิ้วโป้ง “เยี่ยมจริงๆ”
       “ขอบคุณมากค่ะด๊อกเตอร์”
       เอมิกาหันไปมองอภิเชษฐ์แบบเย้ยๆ ทำให้อภิเชษฐ์ไม่พอใจ
       “เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ไปพบฉันที่ห้อง ฉันมีเรื่องสำคัญจะประกาศ” ดร.เพี้ยนบอก
       เอมิกา ปองเทพ อภิเชษฐ์ ชัยพร นงลักษณ์ มองดร.เพี้ยนด้วยความสงสัย
     
       ที่ห้องดร. เพี้ยน เอมิกา ปองเทพ ชัยพร นงลักษณ์ อภิเชษฐ์ กับนักศึกษาอีกจำนวนหนึ่งพูดออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
       “ประกวดบทละครยอดเยี่ยม!!!”
       ดร.เพี้ยนพยักหน้ารับ
       “รางวัลชนะเลิศก็คือ ทุนการศึกษาจากฉันเพื่อไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านการละครที่นิวยอร์ค”
       ทุกคนโอ้โฮและฮือฮาด้วยความตื่นเต้น ระหว่างดร.เพี้ยนพูด ทุกคนตั้งใจฟังมาก
       “ฉันมีเวลาให้พวกเธอสองเดือนครึ่ง..ในช่วงปิดเทอม สำหรับการทำโปรเจคนี้ กติกาง่ายมาก เธอเขียน ฉันอ่าน และฉันจะคัดให้เหลือเพียง ๒ เรื่องเพื่อนำมาสร้างเป็นละครจริงๆ เปิดให้คนดูเข้ามาดู โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมตัดสินคัดเลือกบทละครที่ดีที่สุดเพียงหนึ่ง เดียว และคนเขียนบทก็จะได้รับทุนไปศึกษาต่อไปทันที”
       “ด๊อกเตอร์ไม่ต้องประกวดหรอกครับ เห็นๆอยู่ว่ารางวัลนี้ต้องเป็นของผม” อภิเชษฐ์บอก
       เอมิกาแว๊ดขึ้นมาทันที “ฝันไปแหละ” อภิเชษฐ์หันไปมองอย่างไม่พอใจ “ด๊อกเตอร์คะ เอมมั่นใจว่ารางวัลนี้ต้องเป็นของเอม”
       “เธอต่างหากที่ฝัน!! คุณหนูอย่างเธอ...ที่ใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ มีแต่คนคอยรับใช้ มีชีวิตประจำวันแบบเดิมๆ” อภิเชษฐ์ยิ้มเยาะ “ไม่มีวันทำละครที่ลึกซึ้งเข้าถึงจิตวิญญาณและชีวิตของมนุษย์ได้หรอก!! เห็นชัดอยู่แล้วว่าคนที่จะได้ทุนคือ..” อภิเชษฐ์เอานิ้วโป้งชี้ตัวเอง “ฉัน!”
       เอมิกาโมโหมากๆ
       “ทุนนี้ต้องเป็นของฉัน” อภิเชษฐ์ย้ำ
       อภิเชษฐ์กับเอมิกาเถียงกันไปเถียงกันมาข้ามหัวดร.เพี้ยน
       “ของฉัน!”
       “ของฉัน..!”
       “ของฉัน!!”
       ทั้งสองเถียงกันจนน้ำลายกระเด็นเข้าหน้าดร.เพี้ยนเต็มๆ ดร.เพี้ยนทนไม่ไหว
       “หยุด!!”
       เอมิกากับอภิเชษฐ์เงียบ ดร.เพี้ยนเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้า ทุกคนนึกว่าดร.เพี้ยนจะด่า แต่เขากลับหัวเราะชอบใจออกมา
       “ฮ่าๆๆ ฉันชอบเวลาแห่งการแข่งขันซะจริงๆ” ดร.เพี้ยนตบบ่าเอมิกากับอภิเชษฐ์ “แล้วเจอกันวันเปิดเทอม” ดร.เพี้ยนหันไปมองคนอื่น “ฉันจะรอดูผลงานของพวกเธอ”
       ดร.เพี้ยนหัวเราะร่าก่อนจะเดินออกไป อภิเชษฐ์หันมาทางเอมิกา
       “ถอนตัวตอนนี้ยังทัน เธอไม่มีทางทำได้ เพราะอะไรรู้มั๊ย เพราะว่านักเขียนบทที่ดีต้องมีประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็อย่าหวังเลยว่าเธอจะเขียนบทละครดีดีออกมาได้”
       เอมิกากัดกรามด้วยความโมโห
     
       แล้วทั้งเอมิกากับอภิเชษฐ์ก็ส่งสายตาท้าทายกันราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นออกมาจากดวงตาของกันและกัน



       วันต่อมา ท่ามกลางแดดร้อนที่หน้าผาแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ชายคนหนึ่งกำลังปีนหน้าผา ด้วยท่วงท่าที่ชำนาญ ทันใดนั้น เขาก็พลาดจนเกือบร่วง แต่เขาสามารถเอาตัวเกี่ยวไว้ได้ทัน
     
       ชายคนนั้นหันมาทำให้เห็นว่าคือวเรศ หนุ่มหล่อพิมพ์นิยมถอนหายใจโล่งอกแล้วก็หันไปปีนหน้าผาต่อ
     
       วเรศโรยตัวลงมามาจากหน้าผา มีขวดน้ำยื่นมาให้เขา วเรศหันไปเห็น หมู ในชุดปีนหน้าผาเหมือนกันกำลังยื่นขวดน้ำมาให้ วเรศรับขวดน้ำมาดื่ม
       “ท่านเลขานี่ฟิตจริงๆ ขนาดต้องไปช่วยงานรัฐมนตรี ยังหาเวลามาปีนได้ แถมอึดกว่าผมอีก” หมูชม
       “ทั่นเลขง เลขาอะไร ไอ้หมู ฉันมีชื่อเรียกชื่อก็ได้ ตอนนี้อยู่นอกเวลางาน” วเรศดื่มน้ำ
       “โอเคคร้าบ ทั่นเลขาตั้ม เฮ้ย .. ทั่นตั้ม ..”
       วเรศปรายตามองแล้วส่ายหน้าในความกวนของเพื่อน
       “นี่..พรุ่งนี้ฉันจะจัดทริปพาคนที่สนใจปีนหน้าผามาลองปีนฟรี ว่าจะพาไปปีนแบบท๊อป รอบบิ้ง (Top Roping) ฉันจะชวนแกไปเป็นผู้นำทีม เป็นลีดเดอร์ให้หน่อย พอปีนผาเสร็จตอนเย็นจะมีปาร์ตี้รอบกองไฟ เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ แกว่างหรือเปล่า” หมูถาม
       “ได้เลยสบายมาก ช่วงนี้ฉันกำลังจะหากิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อยู่พอดี ถ้ากิจกรรมที่แกจัดน่าสนใจ ฉันจะลองทำแผนงานเสนอคณะกรรมการดู”
       “สุดยอดเลยทั่น หายใจเข้าออกเป็นงานแบบนี้ ค่อยคุ้มกับภาษีที่ประชาชนจ้างมาเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษหน่อย” หมูแซวแล้วยิ้มกว้าง
       วเรศยิ้มรับ พลันเสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น วเรศหยิบออกมาพอเห็นชื่อก็ยิ้มและกดรับสาย
       “ครับแม่” วเรศฟังแล้วถามย้ำ “งานเลี้ยงการกุศลพรุ่งนี้” วเรศชะงักนิดๆ หันมาทางหมู หมูมองหน้าแล้ววเรศก็ตอบแม่ “ได้ครับแม่ แล้วเจอกันที่บ้านครับ”
       วเรศวางสาย หมูเหล่
       “ดูท่าทางแม่แกอยากให้ไปงานนี้ซะเหลือเกิ๊น ท่าทางไม่พ้นจับคู่ให้อีกแหงมๆ”
       วเรศยักไหล่โดยไม่ตอบอะไร แล้วเขาก็เดินออกไปกับหมู
     
       เช้าวันใหม่ เครื่องบินแล่นลงจอดที่สนามบินในกรุงเทพ อัมพรกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน
       “ทางดิฉันจัดเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว รับรองคืนนี้เค้าสองคนได้เจอกันแน่ แล้วเจอกันที่งานนะคะ สวัสดีค่ะ”
       อัมพรวางสาย เธอหันไปเห็นอุทยานจ้องหน้าอยู่ใกล้ๆก็สะดุ้งตกใจ
       “ว๊าย!” อัมพรถอนใจ “หัวใจจะวาย”
       “ผมว่าคุณน่าจะเอาดีด้วยการไปเปิดบริษัท” อุทยานบอก
       “บริษัทอะไร?”
       “บริษัทจัดหาคู่”
       อัมพรเสียงเขียว “คุณอุทยาน!” อุทยานเงียบ “ฉันทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับลูกนะคะ คุณก็เห็นว่าลูกสาวเรากระโดกกระเดก ไม่มีความเป็นผู้หญิง ขืนฉันไม่ช่วย ลูกสาวเราได้ขึ้นคาน”
       “แต่ลูกเรายังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลยนะคุณ” อุทยานแย้ง
       “โอ๊ย! ของแบบนี้มันต้องรีบค่ะ ผู้ชายดีดีสมัยนี้เหลือน้อย ไม่เป็นตู๊ด ก็เจ้าชู้!” อัมพรหันไปมองแบบเน้นที่อุทยาน อุทยานสะดุ้ง “ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว ไปหายัยเอมดีกว่า”
       อัมพรลุกแล้วเดินออกไป อุทยานส่ายหัวเอือมระอา
     
       เอมิกายังอยู่ในชุดนอน เธอสวมแว่นสายตาเดินไปเดินมาตรงหน้าโต๊ะที่มีโน๊คบุควางอยู่พลางกินมะขามอัดเม็ดไปด้วย
       “ฉันต้องทำยังไงถึงจะเอาชนะไอ้อภิชาติแมวนั่นได้” เอมิกานึก “คิดให้ออกสิเอมิกา เธอจะปล่อยให้มันคว้าทุนดร.เพี้ยนไปไม่ได้นะ”
       เอมิกาคิดๆแล้วก็นั่งลงที่หน้าจอโน้ตบุค พร้อมกับยัดมะขามเข้าปากไม่หยุด
       “ในเมื่อคิดไม่ออก ก็ต้องให้คนอื่นช่วยคิด”
       เอมิกาวางกระปุกมะขามดังปัง! ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เธอเข้าไปโพสข้อความลงในเฟซบุค “จะทำอย่างไรให้ได้ประสบการณ์ชีวิตโชกโชน” กดส่งข้อความ ไม่นานก็มีคนตอบมาหลายสิบคน เอมิกาตั้งใจอ่าน
       “อยากได้ประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนและโชกเลือดก็ไปเป็นโจรสิ เฮ้ย! ไม่ดีหรอก มันผิดกฎหมาย มีชู้มีกิ๊กมันเร้าใจดี อิอิ งุงิงุงิ อันนี้ก็ผิดศีล” เอมิกาไล่สายตาอ่านลงมาเรื่อยๆ “เป็นขอทาน” เอมิกาเบ้หน้า “ไปเป็นตำรวจ ไปทำงานกับคุณหมอพรทิพย์ โฮ..แต่ล่ะอย่าง..แรงอ่ะ...”
       แล้วอัมพรก็เปิดประตูเข้ามา
       “ยัยเอม..”
       เอมิกาสะดุ้งรีบปิดหน้าจอโน้ตบุคแล้วก็หันไป
       อัมพรตกใจ “ตั้งแต่เช้า...ยังไม่อาบน้ำอีก”
       “ก็เอมไม่ได้ไปไหนนี่แม่”
       “ไม่ได้ไปไหนอะไร? เราลืมไปแล้วใช่มั๊ยว่าคืนนี้ต้องไปงานเลี้ยงการกุศลกับแม่”
       “แม่ก็รู้ว่าเอมไม่ชอบไปงานแบบนี้” เอมิกาเข้ามากอดอ้อน “เอมขอไม่ไปนะคะ เอมต้องทำรายงาน ต้องการสมาธิ”
       อัมพรดึงเอมิกาออกห่าง “ไม่ต้องเอาการบ้านมาอ้าง ลูก-ต้อง-ไป!” เอมิกาจะอ้าปากแต่อัมพรรีบพูด “ห้ามปฏิเสธ แล้วก็แต่งตัวสวยๆด้วย อย่าทำให้ท่านผู้ว่าฯเชียงใหม่ขายหน้าเข้าใจมั๊ย”
       อัมพรบีบจมูกเอมิกาแล้วก็เดินออกไป เอมิกาทิ้งตัวลงนั่งพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
     
       วเรศกำลังอาบน้ำอวดเรือนร่างสมชายชาตรี พออาบน้ำเสร็จเขาก็โกนหนวด ก่อนจะเดินออกมาเปิดตู้เสื้อผ้า เสื้อเชิ้ตสีออกโทนอ่อนๆ เรียงรายในตู้เสื้อผ้า อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย วเรศหยิบเสื้อเชิ้ตออกมาสวม ผูกหูกระต่าย แล้วติดกระดุมเสื้อสูท
     
       วเรศยืนอยู่หน้ากระจกในมาดหนุ่มหล่อเนี๊ยบ เขายิ้มให้ตัวเองที่หน้ากระจกเล็กน้อยด้วยความมั่นใจ


   ปัญญาชนก้นครัว ตอนที่ 1 (ต่อ)
     
       ที่งานเลี้ยงการกุศล เอมิกา อัมพร และอุทยาน ใส่หน้ากากแฟนซีปิดแค่ตาเดินเข้ามาในงานด้วยกัน มีป้ายหน้างานเขียนว่า “ปาร์ตี้หน้ากากการกุศล” อัมพรมองหาวิยะดาไปรอบๆ จนอุทยานแปลกใจ
     
       “นี่คุณ..” อุทยานเรียก อัมพรหันมา “มองหาใคร?”
       อัมพรปฏิเสธเสียงสูง “เปล่าซักหน่อย”
       เอมิกาหน้าเซ็งเมื่อเห็นบรรยากาศในงานนอกจากนั้นเธอยังรู้สึกปวดท้องนิดๆ
       “แม่คะพ่อคะ เอมขอไปห้องน้ำนะคะ”
       วิยะดากับอุทยานพยักหน้า เอมิกาเดินออกไป ระหว่างนั้นวิยะดา วิชัย และวเรศก็มาถึง
       “สวัสดีค่ะท่านผู้ว่าฯอุทยาน คุณหญิงอัมพร” วิยะดาทัก
       อัมพรกับอุทยานหันไป อัมพรดูจะดีใจมากเป็นพิเศษ
       “คุณวิยะดา คุณวิชัย สวัสดีค่ะ”
       อุทยานยิ้มให้วิยะดากับวิชัยที่ยกมือไหว้
       “วเรศ ลูกชายดิฉันค่ะ” วิยะดาแนะนำ
       วเรศยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
       “อ๋อ วเรศ” อุทยานนึกไปพูดไป “เลขาท่านรัฐมนตรีใช่มั้ย”
       วเรศยิ้มรับ “ครับ”
        “วันก่อนที่งานเลี้ยงสันนิบาต ผมเจอกับรมต.ประวัติ...คุณลุงของคุณ ท่านชื่นชมคุณให้ผมฟังไม่หยุด แล้วก็บอกว่าคิดไม่ผิดที่ดึงตัวหลานชายให้มาเป็นเลขาส่วนตัว อนาคตคุณไปไกลแน่ ผมรับรอง” อุทยานบอก
       วเรศยกมือไหว้ “ขอบคุณมากครับท่าน”
       อัมพรมองวเรศด้วยความปลาบปลื้ม แล้ววิยะดาก็ขยับมาแอบกระซิบกับอัมพร
       “แล้วหนูเอมล่ะคะคุณหญิง”
       “ยัยเอมไปห้องน้ำค่ะ เดี๋ยวก็มา” อัมพรบอก วิยะดายิ้มพอใจ
       วเรศพูดกับวิชัย “ผมขอไปเอาเครื่องดื่มก่อนนะครับพ่อ”
       วิชัยพยักหน้า วเรศเดินออกไป ที่เหลือยืนพูดคุยกันต่อ
     
       เอมิกากำลังล้างมืออยู่ในห้องน้ำหญิง
       “มะขามทำพิษแน่ๆ” เอมิกาจับท้องตัวเอง
     
        เวลาต่อมา วเรศยื่นมือมาเอาเครื่องดื่มพร้อมกับเอมิกา วเรศหันไปมอง ทั้งคู่ชะงัก ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าชัดๆ แต่ดวงตาที่มองกันนั้นกลับรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของกันและกัน วเรศกับเอมิการีบปล่อยมือจากแก้วเครื่องดื่ม
       “เชิญครับ” วเรศบอก
       “ไม่เป็นไรค่ะ” เอมิกาพูด
       วเรศหยิบแก้วขึ้นมายืนให้เอมิกา “นี่ครับ..”
       “ขอบคุณค่ะ”
        เอมิการับแก้วมาแล้วเดินออกไป วเรศมองตามเอมิกาแล้วก็ยิ้มออกมาเพราะรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
     
       พิธีกรเดินขึ้นมาบนเวที แขกเหรื่อมากมายปรบมือให้
        “สวัสดีครับแขกท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอต้อนรับทุกท่านอย่างเป็นทางการเข้าสู่งานเลี้ยงหน้ากากการกุศลประจำปี 2555 เพื่อหารายได้ช่วยเหลือเด็กยากไร้ตามชายแดน”
        เอมิกากลับมายืนกับอัมพรและอุทยาน
       “หายไปไหนมาห๊ะยัยเอม” อัมพรถาม
       “เอมท้องไม่ค่อยดีน่ะค่ะ”
       พิธีกรบนเวทีพูดต่อ
       “ต่อจากนี้ไปขอเชิญผู้สมัครเต้นรำการกุศลออกมากลางฟลอร์ได้เลยครับ”
       อัมพรบอกลูกสาว “ออกไปสิยัยเอม”
       เอมิกางง “ห๊ะ! เอมไม่ได้สมัคร...?”
       “แต่แม่สมัคร..เสียเงินไปเป็นแสน เต้นให้สมกับที่เป็นลูกสาวท่านผู้ว่าฯเชียงใหม่นะลูก”
       เอมิกามีสีหน้าแย่มาก เธอหันไปทางอุทยานเพื่อขอความช่วยเหลือ “คุณพ่อ...”
       “ทำตามที่แม่เค้าบอกเถอะ”
       เอมิกาเซ็งมากแต่ก็จำต้องเดินออกไป อัมพรยิ้มพอใจ
     
        เอมิกาเดินออกมาอย่างเซ็งๆ ในแถวของผู้หญิง ฝั่งตรงข้ามแถวผู้หญิงเป็นแถวของผู้ชาย แต่คู่ของเอมิกายังไม่มา เสียงเพลงดังขึ้น คนอื่นออกไปเต้นรำกันเป็นคู่ เอมิกาหน้าเจื่อนๆ ทันใดนั้นก็มีมือยื่นมา เอมิกาหันไปเห็นวเรศแล้วก็จำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เจอเมื่อสักครู่
       “คุณ?!!”
       วเรศยิ้ม “เต้นรำด้วยกันนะครับ”
        เอมิกานิ่งไปชั่วอึดใจแล้วก็ยื่นมือไปจับมือวเรศ ทั้งสองเต้นรำไปด้วยกัน วิยะดากับอัมพรซุบซิบกันอยู่ที่ข้างฟลอร์ ตาของทั้งสองชะเง้อมองหาเอมิกากับวเรศที่เต้นอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
       “คุณวิยะดาเห็นลูกสาวดิฉันกับลูกชายคุณรึเปล่าคะ”
       วิยะดามองหา “ไม่เห็นเลยค่ะคุณหญิง ไม่รู้ไปอยู่ในซอกหลืบไหน”
       เอมิกากับวเรศยังคงเต้นรำด้วยกัน เอมิกามองเข้าไปในดวงตาของวเรศ พลางคิดในใจ
       “ฉันรู้สึกเหมือนตัวฉันเป็นวนิดาเลย นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย?!”
        วเรศยิ้มน้อยๆ แล้วหมุนตัวเอมิกาออกไป ทั้งสองคนเต้นรำกันราวกับอยู่ในความฝัน แล้วทันใดนั้นเอมิกาก็ปวดท้องอึอย่างแรง เอมิกาพยายามอดทนเต้นรำต่อไป แต่ก็เต้นผิดจังหวะจนเหยียบเท้าวเรศ วเรศชะงัก
       “ขอโทษค่ะ”
       “ไม่เป็นไรครับ”
        เอมิกาสติแตกแต่ก็พยายามฝืนยิ้ม แต่เธอก็เต้นผิดตลอด เธอเหยียบเท้าวเรศอีกสองสามครั้ง วเรศเริ่มเจ็บ
       “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ...”
       เอมิกาเริ่มทนไม่ไหว เธอพยายามขมิบสุดฤทธิ์แต่ก็ไม่ได้ผล เอมิการีบผละออกห่างวเรศ
       วเรศแปลกใจ “คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
       “ฉันขอตัวนะคะ”
       เอมิการีบวิ่งแหวกคนออกไป วเรศหันขวับไปมองตามด้วยความตกใจ
       “คุณจะไปไหน?! คุณ!!”
     
       วเรศรีบตามเอมิกาออกไป โดยที่ไม่มีใครเห็น



       เอมิกาหน้าแดงวิ่งเต็มที่เพราะปวดท้องมากจนแทบจะเดินต่อไปไม่ไหว เธอเงยหน้าเห็นป้ายห้องน้ำหญิง
     
       “มะขามออกฤทธิ์อีกแล้ว อดทนเอมิกา สวรรค์อยู่ตรงหน้า”
       เอมิกาหนีบขาและพยายามเดิน เหงื่อซึมเต็มหน้าเธอและเริ่มตดเบาๆออกมา เอมิกาจะแย่แล้วเธอถองรองเท้าส้นสูงออกสองข้างแล้วรีบใส่ตีนหมาวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ วเรศวิ่งตามออกมาก่อนจะหยุดหันไปมองรอบๆ แต่ไม่เห็นเอมิกาแล้ว
       “หายไปไหน?”
       วเรศถอนใจแล้วก็เห็นรองเท้าส้นสูงสองข้างของเอมิกาถอดวางอยู่ วเรศเดินมาหยิบรองเท้าด้วยสีหน้าแปลกใจสุดๆ
     
       อัมพรกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ อัมพรตกใจ
       “นั่งแท็กซี่กลับบ้านไปแล้ว?” อัมพรเซ็ง “ถึงบ้านแล้วก็ทานยาด้วยล่ะ” อัมพรวางสาย
       “ลูกเป็นอะไรเหรอคุณ?” อุทยานถาม
       “ท้องเสียน่ะสิคะ แผนดูตัวของฉันล้มเหลวอีกตามเคย เฮ้อ ต้องโทรบอกคุณวิยะดาก่อน”
       อัมพรกดโทรศัพท์
     
       วเรศนั่งดูรองเท้าส้นสูงของเอมิกาแล้วก็อมยิ้ม พลางคิดไปถึงตอนที่เต้นรำด้วยกัน วเรศเงยหน้าขึ้นมา
       “ทำอย่างกับเป็นซินเดอเรลลา”
       วเรศยิ้มชอบใจ
     
       เช้าวันรุ่งขึ้น อัมพรเอายาให้เอมิกาที่นั่งอยู่บนเตียงกิน โดยมีอุทยานยืนอยู่ข้างๆ
       “ดูแลตัวเองดีดีนะยัยเอม พ่อกับแม่ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว” อุทยานบอกลูกสาว
       “ค่ะ...” เอมิกากอดแม่
       อัมพรลูบหลังเอมิกาแล้วดึงออกมาก่อนจะพูด
       “แม่ทำข้าวต้มไว้ให้ ถ้าอยากทานก็เวฟซะ อย่าขี้เกียจ เดี๋ยวก็ปวดท้องอีก แล้วก็ไม่ต้องออกไปเที่ยวที่ไหนล่ะ”
       “ครับพ้ม” เอมิกาตะเบ๊ะ “พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วง เอมดีขึ้นเยอะแล้ว”
       “ถ้างั้นก็ไปกันเถอะคุณ พ่อไปนะลูก”
       อัมพรกับอุทยานผลัดกันเข้ามาหอมแก้มลูกสาวแล้วก็เดินออกไป ทันทีที่พ่อกับแม่ไปจากห้อง เอมิกาก็รีบเอาไอแพดมาเปิดทันที แล้วเธอก็ตกตะลึง
       “โอ้โฮ..ข้อความที่เราโพสเอาไว้เมื่อวาน”
       ข้อความ “จะทำอย่างไรให้ได้ประสบการณ์ชีวิตโชกโชน” ที่เธอโพสต์ในเฟซบุ๊ค
       “มีคนเข้ามาตอบตั้ง 105 ข้อความ” เอมิกาอ่านไล่ลงมาแล้วก็ชะงัก “อยากได้ประสบการณ์โชกโชนก็มาเป็นโคโยตี้กับพี่สิน้อง!!” เอมิกาคิดตาม “โคโยตี้”
       เอมิกายิ้มแล้วคิดว่าจะเอาอันนี้แหละ
     
       ที่ห้องซ้อมดนตรี ปองเทพ นงลักษณ์ และชัยพรมองหน้าเอมิกาด้วยความตกใจ
       “เป็นโคโยตี้!!”
       “แกใช้หัวสมองหรือหัวแม่เท้าคิดห๊ะ!!” นงลักษณ์ว่า
       “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ฉันใช้หัวคนอื่นคิด” เอมิกาบอก ทุกคนนิ่วหน้า “ฉันโพสข้อความลงในเฟซบุค มีคนเข้ามาเม้นท์เป็นร้อย แต่ฉันเห็นด้วยกับข้อความนี้มากที่สุด”
       ปองเทพนั่งข้างๆ เอมิกา “เราไม่ให้เอมไปเป็นโคนะ”
       “โคโยตี้!” เอมิการีบบอก
       “นั่นแหละ..โคโยตี้” ปองเทพจับมือเอมิกา “เราหวง...ถ้าเอมต้องไปแต่งตัววับๆแวมๆ”
       “โอ๊ยอยากจะอ้วก!” นงลักษณ์ว่า
       เอมิกาดึงมือออกจากปองเทพ “ฉันตัดสินใจแล้ว ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจฉันได้ แล้วฉันก็ต้องรีบหาด้วยว่าที่ไหนมีรับสมัครโคโยตี้ เพราะป่านนี้ไอ้อภิชาติแมวนำฉันไปหลายคะแนนแล้ว”
       “ฉันเห็นด้วยกะไอ้เอม” นงลักษณ์บอก ชัยพรพยักหน้า “ลุยเลยเพื่อน!! เพื่อศักดิ์ศรีของกลุ่มเรา...อย่าให้ไอ้อภิชาติแมวมันได้ทุนดร.เพี้ยนไปเด็ดขาด!”
       เอมิกาพยักหน้าหนักแน่นก่อนจะหันไปทางปองเทพ
       “คะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์แล้วนะป่อง”
       “เราไม่เข้าใจว่าทำไมเอมต้องอยากได้ทุนนี้นัก ทั้งๆที่บ้านเอมก็มีเงิน ส่งเอมไปเรียนได้สบายๆ” ปองเทพว่า
       เอมิกาผงะเพราะไม่พอใจ “แกก็คิดเหมือนคนอื่น คิดว่าพ่อฉันรวย และที่ฉันได้ดีก็เพราะพ่อ ถ้าฉันได้ทุนดร.เพี้ยน มันจะเป็นการพิสูจน์ว่าฉันมีความสามารถ ไม่ใช่ได้มาเพราะใช้เส้นสาย”
       ปองเทพเงียบไปอึดใจ “โอเค..เข้าใจแหละ”
       เอมิกาทำท่าเยส
       “แต่...!” ปองเทพพูดขึ้น เอมิกาผงะ “เราไม่ให้เอมไปเป็นโคโยตี้คนเดียว ถ้าจะเป็น ก็ต้องเป็นทั้งกลุ่มเนี่ยแหละ”
       ทุกคนมองหน้าปองเทพอึ้งๆ ปองเทพยิ้มพร้อมยักคิ้ว
     
       ผับแห่งหนึ่ง ชัยพรหันไปทางเพื่อนๆทุกคน
       “ร้านนี้ที่แกมาเที่ยวประจำ?” เอมิกาถามชัยพร
       “ใช่..มาจนเจ้าของร้านจะยกหุ้นในร้านให้ฉันแล้ว ฉันจะสวมบทบาทเป็นนายหน้าพาพวกแกมาฝากงาน โอเค้?!” ชัยพรบอก
       ทุกคนมองหน้ากันแล้วก็พยักหน้าให้ชัยพร ชัยพรยิ้ม
     
       เจ้าของร้านยืนอยู่กับชัยพร
       “น้องไชโยฝากเด็กทั้งที ทำไมเฮียจะไม่รับ”
       “ขอบคุณนะเฮีย เด็กผมมืออาชีพ ผมลงทุนไปซื้อตัวมาจากเกาหลีเลยนะ”
       เจ้าของร้านหันไปมองเอมิกา นงลักษณ์ และปองเทพ ทั้งหมดโค้งให้แบบเกาหลี
       “อันยอง...”
       เจ้าของร้านกวาดตาไล่มองไปทีละคนแล้วก็มาหยุดที่ปองเทพแล้วก็ผงะ
       “ทำไมมีผู้ชายด้วย”
       ชัยพรหันไปทางปองเทพ แล้วก็รีบแก้ตัว
       “มันเป็นตุ๊ดเฮีย!” ปองเทพได้ยินก็ผงะแล้วก็รีบทำท่าตุ๊ด ชัยพรพูดต่อ “เวลาแต่งหญิง เนียนมาก ดูไม่ออก แถมยังเป็นดาวเด่นเต้นเก่งที่สุดในกลุ่ม”
       ปองเทพถลึงตาใส่ชัยพร เอมิกา นงลักษณ์พยายามกลั้นหัวเราะ เจ้าของร้านหันมามองปองเทพอีกครั้ง ปองเทพยิ้มหวานแล้วกระพริบตาปิ๊งๆๆ
       “ตกลงให้เริ่มงานวันนี้เลยนะเฮียนะ”
       เจ้าของร้านมองชัยพร เขาไม่ตอบอะไรออกมาแต่ดูท่าทางสนใจไม่น้อย
     
       ตกกลางคืน วเรศขับรถสปอร์ตเข้ามาจอดที่หน้าผับเรียกสายตาทุกคู่จากคนแถวนั้นให้หันมามองเป็นตาเดียว ไม่นานวเรศก็ลงจากรถพร้อมกับหมู สาวๆแถวนั้นหันมามองวเรศเป็นตาเดียว หมูขยับเสื้อ แอคหล่อแล้วส่งยิ้มให้สาวๆ แต่สาวๆมองผ่านไปที่วเรศทุกคน หมูเซ็งมาก พนักงานร้านรับรถวเรศไปจอด
       “อยู่กับแกทีไรเรตติ้งตกตลอด” หมูบ่น
       วเรศไม่ตอบอะไร ระหว่างนั้นสาวคนหนึ่งเดินมาหาวเรศพร้อมกระดาษทิชชู่
       สาวคนนั้นยื่นกระดาษให้ “นี่พินของดาวค่ะ จะได้ไว้ทำความรู้จักกัน”
       หมูตาโต วเรศยิ้มรับและตอบกลับอย่างสุภาพ
       “ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมไม่ได้ใช้บีบี”
       “น่าเสียดายจัง .. “
       หมูรีบแทรก “น้องครับ เพื่อนพี่ไม่ใช้ แต่พี่ใช้นะครับ”
       สาวคนนั้นค้อนหมูแล้วสะบัดหน้าเดินออกไป
       วเรศขำๆ แล้วส่ายหน้า “ผู้หญิงสมัยนี้แรงจริงๆ”
       หมูหันมา “นี่ยังเบา ไม่ถึงกับขอเบอร์ ไม่มีพินก็จบ บางคนแค่นี้ไม่จบนะเว้ย มีต่ออีกยาว” หมูยิ้มลามก
       วเรศยิ้มแล้วส่ายหน้า “แกนี่ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ ตกลงจะพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย?”
     
       หมูยิ้มเจ้าเล่ห์แทนคำตอบ



       วเรศ หมู อยู่กับ เอกและกลุ่มเพื่อนที่โต๊ะข้างเวที
     
       “ขอดื่มให้กับว่าที่เจ้าบ่าวของเรา” หมูบอก
       วเรศ หมู และเอกชนแก้วกัน
       “ปาร์ตี้สละโสดคืนนี้ ไม่เมาไม่กลับ” หมูบอก
       ทั้งสามเอาแก้วขึ้นมาชนกันอีก พลันเสียงดนตรีเปลี่ยนจังหวะเป็นเซ็กซี่ วเรศ หมู เอก และคนอื่นหันไปมองบนเวที เสียงเจ้าของร้านดังขึ้น
       “ขอเชิญทุกท่านพบกับเกิร์ลกรุ๊ปที่ส่งตรงมาจากประเทศเกาหลี”
       หมูกับคนอื่นตาวาว ยกเว้นวเรศที่นิ่งๆ เอมิกาเดินออกมาพร้อมกับนงลักษณ์ ทั้งสองแต่งตัวเหมือนกันโดยใส่วิกผมบ๊อบสั้น แต่งหน้าจัด ชุดรัดรูป รองเท้าส้นสูงมาก
       สองสาวเดินมาเกาะเสาสองต้นที่อยู่บนเวที แต่เสาตรงกลางยังไม่มีใคร สองสาวเต้นเบาๆ แล้วไม่นานก็มีสาวอีกนางเดินมาตรงกลางเวทีสร้างความสนใจให้ผู้คนอยากเห็นว่าเป็นใคร?
       เอมิกากับนงลักษณ์ผายมือไปทางสาวคนนั้น ไฟสปอร์ตไลท์จับไปที่เธอซึ่งก็คือ “ปองเทพ” ที่แต่งหญิงเหมือนกับคนอื่น ชัยพรที่ยืนอยู่ข้างเวทีถึงกับพ่นน้ำที่เพิ่งกินเข้าไปพรวดออกมาด้วยความช็อคเพราะปองเทพสวยมาก
       ปองเทพทำหน้าและท่าทางเซ็กซี่เดินมาที่เสากลางเวที ลูกค้าปรบมือ เป่าปากชอบใจ โดยเฉพาะหมูที่ชอบปองเทพมากๆ วเรศเซ็งสุดๆ เพราะไม่อินตามไปด้วย
       เอมิกา ปองเทพ นงลักษณ์ วาดลวดลายลีลาเต้นรูดเสาเมามันส์สุดฤทธิ์ วเรศมองตาค้าง ทั้งหมดผละจากเสามาตรงหน้าเวทีแล้วหมุนตัว แต่เอมิกากลับสะดุดขาตัวเองล้มตกเวที
       “ว๊ายยย!”
       ปองเทพกับนงลักษณ์ตกใจแต่ก็ต้องเต้นกันต่อ เอมิกาตกลงมานั่งตักวเรศพอดี วเรศกับเอมิกาตกใจ แต่เอมิกากลับผงะกับสายตาของวเรศเพราะเธอรู้สึกคุ้นมาก วเรศแปลกใจว่าทำไมเอมิกายังไม่ลงจากตักเค้าซักที
       วเรศพูดเสียงแข็ง “ลงไปได้ยัง?”
       เอมิกาชะงักแล้วยิ้มแหย เธอรีบลุกขึ้นแทบไม่ทัน ทันใดนั้นก็มีเสี่ยเมาปลิ้นคนหนึ่งวิ่งขึ้นมากอดปองเทพบนเวที ปองเทพหันขวับเพราะตกใจและขยะแขยง พวกเพื่อนๆ พากันตกใจตามไปด้วย
       “ขอเสี่ยชื่นใจหน่อยนะหนู เสี่ยไม่ไหวเลี้ยว”
       ปองเทพอยากจะอ้วก เขาผลักเสี่ยออกไปแล้วต่อยเปรี้ยง วเรศ หมู ชัยพร เจ้าของร้าน และลูกค้าตกใจ
       “ฉิบหาย!!” ชัยพรร้องออกมา
       เอมิกา นงลักษณ์ หน้าตาตื่น เสี่ยเลือดไหลออกจมูก เขาหันไปมองปองเทพด้วยความโมโหด้วยความเมาทำให้เสี่ยชักปืนออกมายิงแบบไร้ทิศไร้ทาง ผู้คนแตกตื่น วิ่งหนีกันจ้าล่ะหวั่น ปองเทพยืนขาสั่นหน้าซีด เสี่ยเอาปืนจ่อไปที่ปองเทพ
       “มึงตาย!!”
       วเรศเห็นเหตุการณ์ จึงคว้าขวดแล้วปาใส่เสี่ยทำให้เสี่ยลั่นไกเฉียดปองเทพไปนิดเดียว เอมิการีบเข้ามาฉุดปองเทพวิ่งหนี ชัยพรเข้ามาพานงลักษณ์ที่ยืนงงๆ หนีออกไป ลูกน้องเสี่ยรีบขึ้นมาดู
       “เป็นไงเสี่ย!”
       “ตามไปจับพวกมัน!!!” เสี่ยสั่ง
       ลูกน้องพยักหน้าแล้วก็รีบตามเอมิกากับปองเทพออกไป
     
       ผู้คนวิ่งหนีออกมาจากผับ เอมิกากับปองเทพวิ่งออกมาเช่นกัน เอมิกาหันไปเห็นลูกน้องเสี่ยวิ่งมาชี้หน้า
       “อย่าหนีนะมึง!!”
       เอมิกาตาเหลือกแต่เพราะคนเยอะ ทำให้ปองเทพกับเอมิกาถูกแยกออกจากกัน
       “ป่อง...”
       “เอม...”
       ลูกน้องเสี่ยเห็นเอมิกากับปองเทพก็งงๆ เพราะแต่งตัวเหมือนกัน
       “คนไหนที่มันต่อยเสี่ยวะ”
       ลูกน้องอีกคนชี้ไปที่เอมิกา ทั้งหมดเลยวิ่งตามเอมิกา เอมิกาเห็นลูกน้องเสี่ยตามมาก็รีบวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
     
       วเรศรีบมาที่รถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ พลางโทรศัพท์ไปด้วย
       “ไอ้หมูอยู่ไหน” วเรศฟัง “กลับไปแล้ว!!!” วเรศกดตัดสาย “ทิ้งกันได้”
       วเรศหัวเสีย
     
       เอมิกาวิ่งหนีมาตามทาง ลูกน้องเสี่ยวิ่งตามมา
       “คนหายไปไหนกันหมดเนี่ย??”
       “หยุดนะเว๊ย!”
       เอมิกาหันไปตะโกน “ไม่หยุด! หยุดก็โง่สิเว๊ย...”
       ลูกน้องโมโห รีบวิ่งตาม เอมิกาเห็นรถเข็นเก่าๆที่ถูกทิ้งไว้ข้างทางก็เข็นเข้าไปเสี่ยใส่ลูกน้อง ทำให้ลูกน้องเสี่ยเสียจังหวะ เอมิการีบวิ่งต่อไป
     
       วเรศขับรถมาตามทาง ผ่านหน้าซอยๆหนึ่งออกไป เอมิกาพรวดออกมาจากซอยนั้น แต่กลับถูกลูกน้องคนหนึ่งกระชากแขนให้หันมา เอมิกาตกใจ
       “อ๊าย” เอมิกากรี๊ดใส่หน้า
       ลูกน้องคนนั้นตกใจ เอมิกากัดแขน ลูกน้องร้องลั่นแล้วปล่อยมือจากเอมิกา เอมิกาจะหนี ลูกน้องอีกคนเข้ามาจิกหัว แต่วิกของเอมิกาหลุดคามือ ลูกน้องคนนั้นเหวอ เอมิการีบแย่งวิกมาใส่ตามเดิม เธอกำลังจะหันหลังหนี แต่เจอลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารวบตัว เอมิกาดิ้นสู้ไม่ยอม
       “ปล่อยนะไอ้บ้า ปล่อยปล่อยปล่อย!!”
       วเรศมองกระจกหน้าเห็นเอมิกากำลังต่อสู้กับคนร้ายก็ตกใจ เอมิกากำลังแย่ ทันใดนั้นวเรศก็ถอยรถกลับมา เขารีบลงจากรถเข้ามาช่วยเอมิกาต่อสู้กับลูกน้องเสี่ย เอมิกาหันไปมองอย่างอึ้งๆ เพราะวเรศเท่ห์มาก วเรศจัดการซะจนลูกน้องจนสะบักสะบอมแล้วก็รีบฉุดเอมิกาขึ้นรถแล้วขับออกไป
     
       เอมิกานั่งหน้าตื่นข้างๆ วเรศที่กำลังขับรถอยู่
       “เดี๋ยวคุณส่งฉันลงตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้านี่แหละ” เอมิกาบอก
       วเรศจอดรถที่หน้าป้ายรถเมล์ เอมิกาหันไป
       “ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้”
       วเรศเสียงดุเหมือนพ่อสั่งสอนลูก “จำไว้เป็นบทเรียนว่าอย่าทำอาชีพนี้อีก เพราะไม่ใช่คุณคนเดียวที่เดือดร้อน คุณอาจจะทำให้คนที่มาช่วยคุณซวยไปด้วย โชคดีที่วันนี้คุณไม่โดนพวกนั้นทำอะไร ถ้าอยากมีรายได้ ก็หาอาชีพที่ปลอดภัยทำซะ แล้วก็อย่าแต่งตัวแบบนี้อีกเด็ดขาด เพราะมันทำให้อาชญากรรมเพิ่มขึ้น”
       เอมิกาอ้าปากค้างเพราะเหวอมาก วเรศยังเทศน์ไม่หยุด
       “ลงไปได้แล้ว” วเรศบอก
       เอมิกายังเบลอๆงงๆ แต่เธอก็ลงจากรถ วเรศขับรถออกไป
       “อีตานี่ไล่ฉันสองครั้งแล้วนะ หน้าตาก็ดี แต่พูดออกมาที..โอ้โฮ.หยั่งกับคุณยายสอนหลาน” เอมิกาถอนหายใจ “เฮ้อ ถ้าได้ผู้ชายแบบนี้เป็นแฟน รำคาญตาย...!”
       เอมิกาหันหลังเดินออกไป
       เอมิกาเดินกลับมาแล้วก็ผงะเพราะเห็นปองเทพ นงลักษณ์ และชัยพรรออยู่ ทุกคนพอเห็นเอมิกาก็ดีใจมากรีบเข้าไปหา
       “เอม!!”
       ปองเทพรีบวิ่งเข้าไปจับมือเอมิกาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
       “เราเป็นห่วงเอมแทบแย่ เอมหายไปไหนมา”
       “พอดีฉันวิ่งหนีไปอีกทางน่ะ” เอมิกาบอก
       “เราขอโทษ เพราะเราแท้ๆทำให้ทุกคนเกือบแย่”
       “ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษพวกแกทุกคน เพราะความคิดบ้าๆของฉัน พวกแกก็เลยซวยไปด้วย”
       “เพื่อนกันก็ต้องช่วยกัน จะขอโทษไมวะ?” ชัยพรบอก
       ทุกคนเห็นด้วยกับชัยพร เอมิกายิ้มด้วยความสบายใจ
       “ถ้าอย่างนั้นมาช่วยฉันคิดดีกว่าว่าฉันจะเปลี่ยนอาชีพไปทำอะไรดี??!”
       ทุกคนอึ้ง “เอมิกา!!”
       เอมิกายิ้มแหยๆ
       “ฉันสัญญาว่าฉันจะเลือกงานที่ปลอดภัย แต่งานนี้ขอทำคนเดียวนะ”
     
       ทุกคนมองเอมิกาแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน



       เอมิกาใส่หมวกกันน็อคเป็นคนส่งพิซซ่า เธอขี่รถออกไป ระหว่างทางเอมิกาเจอเด็กแว๊นขี่แซง เลยหัวเสีย เร่งเครื่องแข่งกับเด็กแว๊น ช่วงเลี้ยว เอมิกาเร่งแซงทำให้แหกโค้งจนมอเตอร์ไซค์พลิกคว่ำ พิซซ่ากระเด็นออกมาจากกล่อง เอมิกาหน้าเสีย
     
       ต่อมาเอมิกามาเป็นพนักงานร้านเซเว่นฯ ขายของอยู่ดีดีก็มีโจรมาปล้นร้าน เอมิกาตกใจรีบยกมือขึ้น
     
       หลังจากนั้นเอมิกาเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร เธอถือถาดอาหารมาส่ง แต่ทรงตัวไม่อยู่จึงสะดุด อาหารหกใส่หัวและตัวลูกค้า เอมิกาหน้าเสียรีบยกมือไหว้ขอโทษ
     
       เอมิกามาเป็นพนักงานตัดขนหมา เธอถือแบตเตอร์เลี่ยนไฟฟ้าหน้าโหด หมาน้อยตัวหนึ่งยืนอยู่บนโต๊ะเหล็ก และกำลังเห่าขู่เอมิกาไม่ยอมให้เอมิกาตัดขน เอมิกาเลยแยกเขี้ยวใส่แล้วก็พุ่งเข้าใส่หมาตัวนั้น
     
       พระอาทิตย์ขึ้น เอมิกาที่นิ้วมือขวามีพลาสเตอร์พันแผลทั้งห้านิ้วกำลังชงกาแฟอยู่ที่ห้อง
       “เจ้าหมาบ้า...กัดมาได้!”
       แม่บ้านเปิดประตูเข้ามา เอมิกาหันไป
       “เดี๋ยวป้าชงกาแฟให้ค่ะ” แม่บ้านบอก
       “ขอบคุณค่ะป้า”
       เอมิกาเดินมานั่งที่เก้าอี้ด้วยหน้าที่เซ็งมากๆ แม่บ้านกำลังชงกาแฟให้ เอมิกาเปิดทีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆพลางถอนหายใจไม่หยุด แม่บ้านเดินกลับมาพร้อมกาแฟวางบนโต๊ะ
       “วันนี้คุณเอมเป็นอะไรคะ ไม่สดใสเลย”
       “เซ็งน่ะป้า รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่สำเร็จซักอย่าง”
       “คนเรามีล้มก็ต้องมีลุกค่ะ” แม่บ้านพูด เอมิกาหันมามองอย่างสนใจ “เหมือนอย่างป้านี่ไง..ป้าเป็นแม่บ้านมาสามสิบปี เจอเรื่องแย่ๆมาเยอะ แต่ป้าก็อดทน และให้กำลังใจตัวเอง จนทำให้ป้าผ่านมาได้”
       “เป็นแม่บ้านนี่มีอะไรแย่เหรอป้า เอมเห็นป้าทำงานสบายจะตาย”
       แม่บ้านลุกขึ้นไปทำงานบ้านพลางพูดไปด้วย
       “แม่บ้านก็เหมือนคนใช้นั่นแหละค่ะ เพียงแต่เราเรียกให้หรูขึ้นมา”
       เอมิกาลุกขึ้นเดินตาม
       “อือ..มันก็จริง..” เอมิกาคิดตาม
       แม่บ้านพูดไปด้วยทำงานไปด้วย “ประสบการณ์การเป็นแม่บ้าน สอนอะไรป้าหลายอย่าง สอนให้ป้ารู้จักคน เพราะเจ้านายแต่ล่ะคนที่ป้าทำงานด้วย ก็จะมีนิสัยที่ไม่เหมือนกัน”
       เอมิกาเริ่มสนใจและเริ่มคิดอะไรขึ้นมาได้ในระหว่างที่แม่บ้านกำลังเล่า
       แม่บ้านหันมาทางเอมิกา “เราต้องเรียนรู้นิสัยของเจ้านายให้เร็วที่สุด เพื่อที่เราจะได้รับใช้เค้าได้อย่างถูกใจ และจะได้ไม่โดนด่า”
       “เหมือนเวลาที่เอมเรียนวิชาการวิเคราะห์ตัวละครเลยอ่ะป้า เอมต้องรู้จักตัวละครของเอมทุกตัว เพื่อให้เอมเขียนบทออกมาสนุก” เอมิกาบอก
       แม่บ้านยิ้มๆ แล้วก็หันไปทำความสะอาดต่อ เอมิกานึกอะไรออกแล้วก็ดีใจสุดๆ เธอเข้ามากอดแม่บ้าน แม่บ้านตกใจ
       “ขอบคุณมากนะคะป้า เอมไปก่อนนะ”
       เอมิการีบวิ่งออกไป แม่บ้านเกาหัวงงว่าเอมิกาขอบคุณเค้าเรื่องอะไร?
     
       ดร.เพี้ยนขยับแว่นตาหันมามองเอมิกาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
       “เธอว่ายังไงนะยัยชะเอม?”
       “เอมจะเขียนบทละครเกี่ยวกับเรื่องผู้ดีปลอมเป็นคนรับใช้ค่ะ”
       ดร.เพี้ยนคิดตาม “ฟังดูน่าสนใจ”
       ดร.เพี้ยนเดินต่อ เอมิกาเดินตาม
       “น่าสนใจมากต่างหากล่ะคะด๊อกเตอร์” เอมิกาเพ้อ “เพราะจะว่าไปไพร่ผู้ดีก็เป็นการสมมติทั้งนั้น แก่นแท้ของคนมีแต่ความดีและความเลวต่างหาก ส่วนกิริยาท่าทางอะไรนั่นเป็นแค่เปลือกบางๆหุ้มอยู่ที่จะลอกออก หรือโปะเข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้”
       ดร.เพี้ยนอึ้งจนต้องถอดแว่นออก “ไม่เคยมีใครพูดถึงธาตุแท้ของจิตใจมนุษย์ได้จับใจฉันมากขนาดนี้ อย่าลืมเขียนลงไปในบทละครด้วยล่ะ”
       “แสดงว่าด๊อกเตอร์สนับสนุนความคิดของเอมใช่ป่ะคะ”
       “ฉันเห็นด้วย แต่เธอคุ้นเคยกับคนใช้แค่ไหนกันแม่ชะเอม ถ้าเธอนึกว่าคนใช้เกิดมาเพื่อคลานเข่าเสิร์ฟน้ำหรือคอยช่วยคุณนายด่าลูกสะใภ้ หรือช่วยเมียหลวงตบเมียน้อยล่ะก้อ แปลว่าเธอรู้จักแต่คนใช้ในละคร แล้วบทละครที่เธอจะเขียนส่งฉันเพื่อเป็นโปรเจคปลายปี ก็คงจะมีแต่เรื่องผิวๆที่ไม่ได้มีแก่นสารอะไร”
       เอมิกาหน้าเสีย
       “ถ้าเธอจะเล่นเรื่องคนใช้ เธอต้องเข้าถึงชีวิต วิญญาณของพวกเค้า ไม่ใช่ทำท่าปัญญาชนไปใส่เสื้อปะคนจน เธอรู้มั้ยว่าพ่อซันซิโรเพื่อนเธอ ไปได้ดีเชียวล่ะกับการเป็นชาวเขา เค้านำเธอไปช่วงตัวแล้วนะ”
       ดร.เพี้ยนมีสายตาที่ภูมิใจมากจนเอมิกาชักหวั่นใจ ดร.เพี้ยนเดินออกไป เอมิกาตัดสินใจได้ทันทีก็รีบตะโกนไล่หลัง
       “ด๊อกเตอร์คะ” ดร.เพี้ยนหยุดเดินหันมา “เอมจะไปเป็นคนใช้ค่ะ!!”
     
       ดร.เพี้ยนอึ้ง เขาขยับแว่นอีกครั้งเพื่อมองเอมิกาที่เชิดหน้าและมีสีหน้าและแววตาที่มุ่งมั่น


 ตรงบริเวณทางเดินในมหาวิทยาลัย เอมิกาตัดสินใจได้ทันที และรีบตะโกนไล่หลัง
     
       “ด๊อกเตอร์คะ”
       ดร.เพี้ยนหยุดเดินหันมา เอมิกาพูดต่อ
       “เอมจะไปเป็นคนใช้ค่ะ”
       ดร.เพี้ยนอึ้ง ขยับแว่นอีกครั้ง เอมิกาเชิดหน้า มีสีหน้าและแววตามุ่งมั่น ดร.เพี้ยนรีบปรี่มาเขกหัวจนเอมิกาสะดุ้ง รีบยกมือจับหัวตัวเอง
       “โอ๊ย ดร.เขกหัวเอมทำไม”
       “เธอจะบ้าเหรอเอมิกา คิดอะไรบ้าๆ”
       “เอมไม่เห็นว่าความคิดของเอมจะบ้าตรงไหน ด็อกเตอร์รู้รึเปล่าว่า ตอนนี้ไอ้อภิชาติหมา เอ๊ย นายอภิเชษฐ์อยู่บนดอย เอมเห็นเค้าเอารูปลงเฟซบุ๊ก เค้าบอกว่าเค้าจะศึกษาศิลปะวัฒนธรรมของพวกชาวเขาแล้วเอามาประยุกต์สร้างสรรค์ผลงาน ในเมื่อนายนั่นทำได้ เอมก็ทำได้เหมือนกัน”
       “นั่นเค้าเป็นผู้ชาย แต่เธอน่ะเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นลูกสาวท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมา ฉันก็ตายน่ะสิ”
       “ด็อกเตอร์” เอมิกาพยายามจะอ้อน
       ดร.เพี้ยนยกมือขึ้นมาตรงหน้าเอมิกา
       “หยุด ไม่ต้องขอร้อง ไม่ต้องอ้อนวอน ยังไงฉันก็ไม่ให้เธอไปเป็นคนใช้ เลิกคิดเรื่องนี้ แล้วก็หาอะไรที่มันเป็นไปได้ เข้าใจ๊”
       ดร.เพี้ยนเดินออกไป
       “ด็อกเตอร์ห้ามคนอย่างเอมิกาไม่ได้หรอก”
       เอมิกามีสีหน้าเจ้าเล่ห์และยิ้มที่มุมปาก
     
       มุมหนึ่งในมหาวิทยาลัย ชัยพรเดินไปทางไหน เอมิกาก็เดินตาม จนชัยพรสุดทน หันขวับมามอง
       “ฉันเนี่ยนะ แกอย่าทำให้ฉันลำบากใจได้ป่ะ ไอ้ที่แกขอให้ช่วย มันจะทำให้ฉันซวย ถ้าไอ้ป่องรู้เข้า มันตีกบาลฉันแตก”
       “ก็อย่าเพิ่งให้ป่องรู้สิ เราต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จก่อน ถ้าแกช่วยฉัน ฉันจะช่วยทำรายงานภาษาอังกฤษให้แก แกจะได้เลิกติดเอฟซักที เคป่ะ” ชัยพรพูดก่อนจะสนใจในเงื่อนไข
       ชัยพรมองอย่างครุ่นคิด เอมิกามองลุ้น
     
       ภายในสำนักจัดหางาน ในเวลากลางวัน สุวิทย์ยืนอยู่กับชัยพรที่พาเอมิกาเข้ามา
       “ขอบัตรประชาชน”
       เอมิกาตกใจเล็กน้อยถาม
       “ต้องดูบัตรประชาชนด้วยเหรอ”
       “จะสมัครงานก็ต้องเอาบัตรประชาชนไว้เป็นหลักฐาน”
       เอมิกาเงียบจนสุวิทย์แปลกใจก็ถามต่อ
       “อย่าบอกนะว่าเป็นต่างด้าว”
       “ไม่ใช่”
       เอมิกาหยิบบัตรประชาชนออกมา แล้วก็ยื่นให้สุวิทย์แบบไม่เต็มใจนัก สุวิทย์ดึงบัตรประชาชน เอมิกาไม่ยอมปล่อย สุวิทย์ออกแรงดึงสำเร็จ มองเอมิกาอย่างไม่ไว้ใจ
       สุวิทย์ เห็นชื่อ “เอมิกา ไกรกำแหง”
       “เอ มิ กา....ไกร กำ แพง” สุวิทย์อ่าน
       เอมิกาลุ้นมากแล้วสะกิดชัยพรมากระซิบ
       “เค้าจะจำนามสกุลฉันได้ป่าว”
       ชัยพรมองลุ้นอยู่เช่นกันแล้วบอก
       “ไม่รู้”
       เอมิกาลุ้นจนเหงื่อตก แล้วสุวิทย์ก็ร้องขึ้นมา
       “เฮ้ย”
       เอมิกากับชัยพรตกใจ คิดว่าสุวิทย?์ต้องรู้แน่ๆว่าเธอเป็นใคร ทั้งคู่หอบหายใจแรง แล้วสุวิทย์ก็ตบยุงที่แขนเพียะ!
       “ไอ้ยุงบ้า กัดมาได้”
       เอมิกากับชัยพรอึ้ง แล้วสุวิทย์ก็เดินออกไป ชัยพรตะโกนไล่หลัง
       “หางานเร็วหน่อยก็ดีนะเฮีย น้องเค้ากำลังร้อนเงิน”
       สุวิทย์พยักหน้าแล้วเดินออกไป เอมิกาหันไปถอนหายใจกับชัยพร
     
       ในห้องนอน วเรศกำลังคุยโทรศัพท์มือถือขณะที่กำลังเก็บเอกสารในกระเป๋าไปด้วย
       “เลื่อนนัดเป็นบ่ายโมง ได้ครับคุณอา แล้วเจอกันครับ”
       วเรศกดวางสาย หันไปวางมือถือที่โต๊ะแล้วก็ผงะ เมื่อเห็นรองเท้าของเอมิกาที่เก็บไว้อย่างดีในกล่องใสวางอยู่บนชั้น วเรศเดินไปเปิดกล่องหยิบรองเท้าขึ้นมา พลางคิดถึงแววตาหวานๆของเอมิกาแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
     
       วันต่อมา ภายในห้างสรรพสินค้า เอมิกากำลังเลือกหนังสือแล้วก็หยิบๆออกมาจนเต็มตะกร้า
       เอมิกา แม่บ้านสมองไว เคล็ดไม่ลับการดูแลบ้าน การจัดปาร์ตี้ฉบับครอบครัว เมนูอาหารง่ายๆสำหรับมือใหม่
       เอมิกามีความสุขมากในการเลือกหนังสือ
     
       ภายในร้านไวน์ ในห้างสรรพสินค้า เสียงทำนองเพลงหรูหราดังขึ้น วเรศยกแก้วไวน์ขึ้นมาหมุน จิบ อมไวน์ไว้ในปาก สีหน้าพึงพอใจก่อนจะกลืน
       “ผมเอาขวดนี้”
       “กรุณารอซักครู่ครับ”
     
       พนักงานเดินออกไป วเรศจิบไวน์ต่อ



       ตรงทางเดินภายในห้างสรรพสินค้า เอมิกาสะพายกระเป๋าผ้า มือถือหนังสือและก้มหน้าอ่านด้วยความสนใจ
     
       “วิธีทำความสะอาดพรมที่เปื้อนคราบน้ำมัน เทเบกกิ้งโซดาลงตรงบริเวณที่เปื้อนทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดตรงรอยเปื้อนน้ำมันนั้น คราบก็จะจางหายไป”
       เอมิกาอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นรู้สึกฝุ่นเข้าตาสองข้าง เอมิกายกมือขยี้ตาแล้วก็ตกใจ
       “โอ๊ย เฮ้ย คอนแทคเลนส์” เอมิการีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋า แล้วก้มลงเอามือคลำๆหาคอนแทคเลนส์ไปบนพื้น
       “อยู่ไหนนะ มองอะไรไม่เห็นแล้วเนี่ย”
       วเรศเดินมาตามทาง ผ่านร้านขายเสื้อผู้ชายก็ชะงัก หันไปหยุดมองชุดที่หุ่นใส่โชว์หน้าร้านด้วยความสนใจ ด้านหลังเอมิกาคลานหาคอนแทคเลนส์มาตามทาง จนมาหยุดตรงด้านหลังวเรศ แต่วเรศไม่เห็น หันหลังจะเดิน ทำให้สะดุดเอมิกาล้มลง เอมิกาเหมือนโดนเตะเข้าสีข้าง
       “โอ๊ย”
       วเรศรีบลุกขึ้นขยับเสื้อผ้า รู้สึกอายที่คนอื่นมองมา
       “คุณทำอะไร” วเรศถาม
       เอมิกาหัวเสียลุกขึ้นหันไปทางหุ่นโชว์หน้าร้านพลางหรี่ตาเพราะมองไม่ชัดเลยนึกว่าเป็นคนจริงๆ
       “ยังมีหน้ามาถามฉันอีกว่าทำอะไร”
       วเรศงงกับท่าทางเอมิกา
       “คุณต่างหากที่ไม่รู้จักดู คนทั้งคนชนมาได้ แล้วนี่เหยียบคอนแทคเลนส์ฉันไปหรือยังหะ”
       วเรศอึ้งมาก มองด้านหลังเอมิกาแล้วก็พึมพำ
       “บ้าป่าวว่ะ”
       เอมิกายังยืนเท้าเอวด่าอยู่
       “ถามแล้วทำเฉย เตะเข้ามาได้ ฉันเจ็บนะ ขอโทษเป็นมั้ย”
       ที่ด้านหลังวเรศส่ายหัวๆแล้วก็เดินออกไป พนักงานร้านเดินออกมาสะกิดเอมิกาแบบกล้าๆกลัวๆเพราะไม่แน่ใจว่าบ้าหรือเปล่า
       “คุณคะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
       เอมิกาหยีตาหันไปชี้ไปที่หุ่น
       “ก็ไอ้ผู้ชายคนนี้ เกือบเหยียบฉันตาย แล้วยังไม่ขอโทษ คุณเห็นมั้ย”
       “คนนี้เหรอคะ”
       “คนนี้แหละค่ะ ดูสิ จ้องหน้าไม่เลิก”
       พนักงานทำหน้างงๆบอก
       “เออ..คุณคะ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คน แต่เป็นหุ่นหน้าร้านฉันค่ะ”
       เอมิกาเหวอและอึ้ง “หะ”
       เอมิกาชะโงกหน้าจะเข้าไปดูจนหัวโขกกับกระจกหน้าร้านดังโป๊ก! เอมิกาสะดุ้งด้วยความเจ็บ
       “โอ๊ย”
       เอมิกาเพ่งมองแล้วก็เห็นว่าเป็นหุ่นจริงๆ เอมิกาหันมายิ้มแหยๆกับพนักงาน
       “ขอโทษค่ะ ฉันมองไม่เห็น ไปนะคะ”
       เอมิการีบวิ่งออกไปด้วยความอับอายแล้วก็เกือบชนเสาก่อนจะหลบได้ทัน พลันเสียงมือถือเอมิกาก็ดังขึ้น เอมิกาเปิดกระเป๋า หยิบมือถือออกมากดรับ
       “ฮัลโหล”
       เอมิกาฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ดีใจ
       “ฉันได้งานแล้ว เยส เยส เยส” เอมิกากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจมากๆ
       คนแถวนั้นมองเอมิกาเป็นตาเดียว แต่เอมิกาไม่เห็นว่ามีคนมองยังคงกระโดดอย่างบ้าคลั่ง
     
       ภายในห้องรับแขกของคอนโดฯของเอมิกา ปองเทพ นงลักษณ์ มองเอมิกานิ่ง
       “เอมพูดเล่นใช่มั้ย” ปองเทพถาม
       “ฉันไม่ได้พูดเล่น ชัยโยพาฉันไปลงชื่อที่บริษัทจัดหางาน และฉันก็ได้งานเป็นคนใช้แล้ว”
       ปองเทพโมโหหันไปทางชัยพรถาม
       “ไอ้ชัยโย ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษากันก่อน”
       ชัยพรผวาหลบไปที่ด้านหลังของเอมิกาทันที
       “ฉันเป็นคนไม่ให้ชัยโยบอกป่องเอง”
       ชัยพรพยักหน้า ปองเทพถอนหายใจ
       ปองเทพพูดด้วยความเป็นห่วง
       “เอม มันไม่ใช่ง่ายๆนะ ขืนจับพลัดจับผลูไปอยู่บ้านเฮงซวย ถูกเจ้านายปล้ำ เอมจะทำไง” ปองเทพพูดทำเอาเอมิกาสะดุ้งอยู่เหมือนกัน
       “ยังไม่ทันไรก็แช่งกันแหละ ฉันคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก” เอมิกาว่า
       “ก็เราเป็นห่วงเอมนี่ ห่วงจนใจแทบขาดแล้วเนี่ย”
       “แกเอาแน่แล้วใช่มั้ยไอ้เอม” นงลักษณ์ถาม
       “เอาแน่ คราวนี้ฉันตั้งใจมาก”
       “ถ้าอย่างนั้นฉัน ไอ้ชัยโย ไอ้ป่องจะช่วยแกเต็มที่”
       เอมิกายิ้ม
       “เฮ้ย ฉันยังไม่ได้รับปาก” ปองเทพว่า
       เอมิกาหันไปทางปองเทพ
       “ป่องจะใจดำไม่ช่วยเอมจริงเหรอ”
       พูดแล้ว เอมิกาก็กระพริบตาปริบๆทำหน้าตาน่าสงสาร
       “เฮ้อ. เอมขออะไร แล้วเราเคยไม่ให้มั้ยล่ะ” ปองเทพว่า
       เอมิกาหันมาหยิกแก้มปองเทพ
       “ป่องน่ารักที่สุดเลย”
       “อย่ามัวเสียเวลา..เราต้องเริ่มได้แล้ว” นงลักษณ์ว่า
     
       เอมิกา ปองเทพ และชัยพรหันไปมองนงลักษณ์ด้วยความสงสัย



       ในเวลาต่อมา นงลักษณ์หันมาทางเอมิกา มีปองเทพกับชัยพรอยู่ข้างๆ
     
       “ไหนพูดสวัสดีสิ” นงลักษณ์ว่า
       “แฮ่ม! สวัสดีค่ะ” เอมิกาพูดอย่างมั่นใจ
       “ไม่ผ่าน”
       เอมิกา ปองเทพและชัยพรผงะ
       “สุภาพเกินไป ต้องให้ห้วนมากกว่านี้”
       เอมิกาพยายามพูด “สวัสดีหลายๆแบบ” และสำเนียงของภาคต่างๆ
       “หวัดดีเพ่ - ไปไส - สวัสดีจ้า - พรือ - เฮ้ย ไงวะ”
       “ฮ่วย” นงลักษณ์ร้องอุทานออกมา
       เอมิกา ปองเทพ ชัยพรสะดุ้งโหยง
       “สวัสดีธรรมดาๆทำเป็นมั้ย” นังลักษณ์ถาม เอมิกาส่ายหัว
       “งั้นพูดว่า สวัสดีจ๊ะ”
       เอมิกาเริ่มไม่มั่นใจ
       “อ่า...สะสะสวัส วัสดี จ๊ะ”
       “เออผ่าน”
       เอมิกา ปองเทพ ชัยพรงงมาก “นึกจะง่ายก็ง่ายซะ”
       “คราวนี้เรามาจำลองเหตุการณ์กันดู ไอ้ชัยโย แกเป็นฝรั่งมาหาคุณนายที่บ้าน”
       นงลักษณ์หันไปทางปองเทพพลางบอก
       “ส่วนแกเป็นคุณนาย”
       “ทำไมเป็นฉัน แกก็เป็นสินง” ปองเทพค้าน
       “ฉันเป็นผู้กำกับอยู่ แกจะให้ฉันเป็นคุณนายได้ไง”
       ปองเทพพูดไม่ออก จำต้องนั่งลงที่เก้าอี้
       นงลักษณ์กำกับบท
       “ไขว่ห้างให้ดูเป็นคุณนายนิดนึง”
       ปองเทพทำตาม ท่าสาวแตกบังเกิดในบัดดล! นงลักษณ์หันมากำกับให้ชัยพรกับเอมิกา
       “ชัยโย เดี๋ยวแกเดินมาจากมุมห้อง ส่วนแกกำลังนวดให้คุณนาย โอเค ห้า สี่ สาม สอง แอคชั่น”
       ชัยพรกดออด พร้อมกับทำเสียงกริ่งเอง
       “ติ๊งหน่อง”
       “ไปดูสิว่าใครมา” ปองเทพจีบปากจีบคอพูด
       “เจ้าค่ะคุณนาย”
       เอมิกาลุกเดินไปทำท่าเปิดประตูตรงหน้าชัยพร
       “Hello ,Is มิสซิสปองศรี home ?”
       “yes she is , may I know your name”
       “ชัยพร”
       “Can you wait right here for a minute , I will tell her and be back.”
       “คัท”
       ทุกคนผงะ หันไปมองนงลักษณ์
       “แกเป็นคนใช้นะไอ้เอม ไม่ใช่คุณหนู แกต้องไม่รู้เว้ย ถ้าจะพูดก็พูดงูๆปลาๆ คล่องแบบนี้เค้าก็รู้หมดดิว่าแกไม่ใช่คนใช้จริงๆ”
       “เป็นคนใช้ ทำไมต้องพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วย ฉันเห็นคนใช้บ้านเพื่อนแม่ฉัน พูดอังกฤษปรื๋อ คล่องกว่าภาษาไทยอีก”
       “คนใช้เพื่อนแม่แก อิมพอร์ตมาใช่มั้ย”
       “ใช่มาจากธิเบต เดินมาตามตะเข็บชายแดนพม่า”
       “แล้วแกมาจากธิเบตหรือไงหะ ไอ้เอม ! แกไม่ต้องมาเถียงให้เสียเวลา ปฎิบัติการขั้นต่อไป”
       นงลักษณ์ดีดนิ้ว เอมิกานิ่วหน้าอย่างแปลกใจ
       “ขั้นต่อไปอะไร”
     
       นงลักษณ์หันมาทางเอมิกา ปองเทพ และชัยพร
       “ปรับลุค เราต้องทำให้ไอ้เอมโทรมที่สุด”
       เอมิกาใส่วิกหัวฟู ทาตัวดำ นุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อยืดสีสัน ติดไฝ ยืนถือไม้ขนไก่ ทำท่าตลกๆ - ปองเทพ นงลักษณ์ ชัยพรส่ายหัว
       เอมิกาใส่วิกผมทรงกะลา สวมแว่นหนา หน้าม้าเต่อ ยิ้มเห็นฟัน เหยิน - ปองเทพ นงลักษณ์สะดุ้งโหยง ชัยพรยิ้มยกนิ้วโป้งชอบใจ เจอปองเทพกับนงลักษณ์มองเหล่
       เอมิกาเกล้ามวย แต่งหน้าเป็นคนแก่ เคี้ยวหมาก ใส่เสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุง - ปองเทพ นงลักษณ์ ชัยพรถอนหายใจพร้อมส่ายหัว
       สุดท้ายเอมิกาใส่เสื้อยืด มีตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ๆที่หน้าอก ผมยุ่งๆฟูๆ ใส่กางเกงยีนส์สามส่วนซีดๆ รองเท้าแตะแบบหนีบ ปองเทพ นงลักษณ์ ชัยพรพยักหน้าพร้อมกันด้วยความพอใจ
       ระหว่างที่เอมิกาแปลงโฉม แม่บ้านกำลังทำความสะอาดมองเอมิกาด้วยความแปลกใจ
     
       แม่บ้านเอาน้ำมาเสิร์ฟให้เอมิกา ปองเทพ นงลักษณ์ และชัยพร ก่อนจะหันไปมองเอมิกาแล้วถาม
       “คุณเอมแน่ใจแล้วเหรอคะว่าจะไปเป็นคนใช้ ถ้าท่านผู้ว่าฯกับคุณหญิงรู้เข้า มีหวัง...”
       เอมิการีบพูดสวนขึ้น
       “ป้าก็ต้องอย่าทำให้พ่อกับแม่ของเอมรู้ยังไงล่ะจ๊ะ ป้าต้องช่วยเอมนะ เอมตั้งใจมากว่าบทละครเกี่ยวกับคนใช้ที่เอมจะเขียนขึ้นในครั้งนี้ จะทำให้บรรดานายจ้าง เข้าใจหัวอกคนใช้มากขึ้น”
       แม่บ้านเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของเอมิกาก็พยักหน้า เอมิกาเบาใจแล้วก็นึกอะไรออก
       “เออป้า ไหนๆป้าก็ร่วมขบวนการเดียวกะเอมแล้ว ป้าก็ช่วยเอมให้ตลอดรอดฝั่งเลยแล้วกัน”
       แม่บ้านมองเอมิกาแล้วนิ่วหน้าสงสัย
     
       แม่บ้านสอนวิธีจับไม้ม๊อบ วิธีถูพื้น วิธีกวาดบ้าน / เอมิกาทำตาม พยายามถู พยายามกวาด แต่ท่าทางยังดูไม่ใช่
       แม่บ้านสอนวิธีซักผ้าใส่เครื่องฯ สอนกดปุ่ม สอนเวลาเอาผ้าออกมาจากเครื่อง ต้องสะบัด แขวน เอมิกาพยักหน้า ทำตาม อันนี้พอทำได้
       แม่บ้านสอนวิธีรีดผ้า เอมิการีดผ้าแต่ทำผ้าไหม้เป็นรู เอมิกาหยิบเสื้อขึ้นมา มองผ่านรูเห็นปองเทพ นงลักษณ์ ชัยพรที่มองมาอย่างตกใจ เอมิกาหน้าเสีย
       แม่บ้านสอนเอมิกาล้างจาน ล้างแก้ว เอมิกาทำตาม แต่ทำจานและแก้วแตกเพล้ง! เพล้ง! แล้วก็เพล้ง ตามด้วยการสอนล้างส้วม ดูดส้วม ที่ดูดส้วมติดแน่นกับส้วม เอมิกาออกแรงดึง..ดึง ดึงจนหงายเงิบ ล้มหมดท่าลงบนพื้น เอมิกายิ้มแหย
     
       แม่บ้าน ปองเทพ นงลักษณ์ ชัยพรแสดงอาการอ่อนอกอ่อนใจ เริ่มกลุ้มว่า “จะรอดมั้ย?”



       เช้าวันถัดมา รถของปองเทพแล่นมาจอดหน้าปากซอย ประตูรถเปิด เอมิกาในคราบคนใช้ใส่เท้ารองเท้าแตะคีบกำลังจะก้าวลงจากรถ
     
       “เอมให้เราไปส่งเอมถึงบ้านเหอะ ต้องเดินอีกตั้งไกลกว่าจะถึง”
       “ไม่ได้ ถ้าแกไปส่ง แล้วมีคนเห็น ความแตกตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม”
       “งั้นก็ได้ ระวังตัวด้วยนะเอม เราเป็นห่วง เป็นห่วงมากๆเลยด้วย ถ้ามีอะไรโทรหาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง”
       “อื้อ ฉันไปนะ”
       ปองเทพพยักหน้า เอมิกากำลังจะเดินออกไป ปองเทพก็เรียกเอาไว้อีก เอมิกาหันมา ปองเทพเดินเอาพระมายื่นให้
       “เดี๋ยวเอม พระแคล้วคลาด เอมจะได้ปลอดภัย”
       เอมิกาพยักหน้าแล้วเก็บพระใส่กระเป๋าลงจากรถ หันไปมองปองเทพที่ยังไม่ยอมขับรถออกไป
       “ไปได้แล้วป่อง” เอมิกาบอก
       “เอมก็เดินเข้าไปก่อนสิ นะนะ”
       เอมิกาถอนหายใจแล้วก็เดินเข้าไปในซอย ปองเทพมองตามด้วยสีหน้าเป็นห่วงสุดๆพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
     
       ภายในถนนในซอยบ้านนุศาเจริญตอนเช้า เอมิกาหิ้วกระเป๋าและชะลอม ลักษณะเหมือนพวกบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุง เดินเข้ามาในซอยท่ามกลางแสงแดดร้อนแรง พลางดูกระดาษซึ่งจดที่อยู่ในมือไปด้วย
       “ซอยไหนเนี่ย เดินมานานแล้วนะ”
       เอมิกาหยุดมองหา ระหว่างนั้นมีรถคันหนึ่งแล่นมา ภายในรถ วเรศใส่แว่นดำขับรถมาตามทาง
       เอมิกาเห็นเชือกผูกรองเท้าผ้าใบหลุดก็ก้มลงไปผูกเชือก รถวเรศแล่นมาใกล้ วเรศมองไม่เห็นเอมิกาที่ก้มอยู่ ขับรถมาอย่างเร็ว ล้อรถของวเรศบดลงไปในแอ่งน้ำข้างถนน น้ำกระเด็นเข้าหัวเอมิกาเต็มๆ เอมิการ้องลั่น
       “อ๊าย”
       เอมิกาลุกขึ้นยืน หัวเปียก หันมองตามรถที่เลี้ยวไปด้วยความหัวเสียสุดๆ
       “บ้าเอ๊ย ดูสิ”
     
       ณ ห้องทำงานของพีรพล ภายในบ้านชื่นฤทัย วเรศยื่นกล่องใส่ไวน์ให้ พีรพลรับมาด้วยสีหน้ายินดี ก่อนจะนั่งลง วเรศนั่งตรงข้าม
       “ขอบใจ ความจริงไม่น่าต้องเสียเงินเสียทองซื้อมา”
       “ไม่เป็นไรครับ ของเล็กน้อยถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณอาช่วยผม”
       พีรพลยิ้มรับ วเรศยื่นซองเอกสารให้ พีรพลรับมา
       “นี่เป็นแผนงานการจัดเทศกาลพืนสวนเมืองหนาวที่ผมอยากให้คุณอามาเป็นที่ปรึกษา”
       “ขอบใจมากนะวเรศที่เลือกอาให้มาช่วยงาน งานนี้จะทำให้อารู้สึกตัวเองมีค่า ไม่ใช่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ”
       วเรศพูดอย่างเห็นใจ
       “คุณอามีค่าเสมอสำหรับผมนะครับ”
       “อาก็พูดอะไรไปเรื่อย เดี๋ยวอาเอาเอกสารไปเก็บก่อน”
       วเรศพยักหน้า พีรพลเดินออกไป
     
       เอมิกาเกล้าผมขึ้นเพราะเปียกน้ำยืนอยู่หน้าประตูบ้านนุศาเจริญ พลางมองเข้าไปในตัวบ้านด้วยสีหน้าค่อนข้างตื่นเต้น
       ภายในบ้าน..จุ่นหวีผมเรียบ ปะแป้งหน้าขาว ใส่เสื้อสีสด กางเกงเอวสูง พูดสำเนียงพม่ากำลังรดน้ำต้นไม้ พลางร้องเพลงไปด้วยแนวทางเป็นของตัวเอง- - โลกนี้ ช่างน่าอยู่ มีท้องฟ้า มีต้นไม้ มีดอกไม้ เอ้อ เอ้อ แล้วก็มี...
       จุ่นหันไปเห็นเอมิกายืนอยู่หน้าบ้าน จุ่นอ้าปากค้าง ตะลึงในความน่ารัก ทำสายยางหล่นพื้น น้ำฉีดเข้าหน้าเข้าปาก แต่ก็ยังจะร้องเพลงออกมา
       “มีเธอ...”
       จุ่นรีบเอาน้ำลูบหน้าลูบผมจนผมเรียบไปทั้งหัว ก่อนจะยกแขนขึ้นมาเพื่อดมรักแร้สองข้าง เช็กกลิ่นตัว แล้วเดินมาหา เอมิกาหันไปเห็นจุ่นก็สะดุ้ง ตกใจปนระแวงเล็กน้อย
       “น้องสา(ว)...มาหาไค (ใคร)จ๊ะ”
       “นี่ใช่บ้านนุศาเจริญรึเปล่าค่ะ”
       “ฮ่าๆๆ”
       เอมิกางงที่จุ่นหัวเราะ
       “พี่หัวเราะอะไร”
       “ก็หัวเราะที่น้องถา(ม) น่ะเซ่ น้องพูดถูกแล้ว บ้า(น)หลังนี้คือบ้า(น)นุศาเจริญ และพี่ก็เปน เปนคนสวน เปนคนสวนของบ้า(น) หลังนี้”
       จุ่นทำเสียงตื่นเต้นภาคภูมิใจกับตำแหน่งมากๆ แถมร้องเพลงไปด้วยอีกต่างหาก เอมิกาทำหน้าไม่ถูก พลันเสียงสมพิศดังขึ้น
       “ไอ้จุ่น”
       จุ่นสะดุ้ง หันไปเห็นสมพิศที่กำลังปิดน้ำก๊อกก็หน้าซีด
       “เปิดน้ำไว้รอให้พ่อแกมาปิดเหรอไง”
       “พ่อฉันตา(ย)ไปแล้ว คงมาปิ(ด)ไม่ได้หรอกป้า”
       “ย้อนฉันเหรอ” สมพิศว่า
       สมพิศจะถีบ จุ่นรับขาหมับแล้วปล่อยก่อนจะหันไปส่งจูบพร้อมขยิบตาให้เอมิกาหนึ่งที เอมิกาขนลุกซู่ จุ่นรีบวิ่งหนีไป ทำเอาสมพิศแทบหงายหลังล้ม
       “ไอ้เวร”
       สมพิศหันมาทางเอมิกา
       “เธอเป็นใคร” สมพิศถาม
       “ฉันมาจากบริษัทจัดหางานของเฮียสุวิทย์จ๊ะ”
       “อ๋อ มาเร็วดีนี่ เข้ามา”
       สมพิศเปิดประตู เอมิกาเดินเข้าไปเห็นรถวเรศก็จำได้
       “รถคนบ้านนี้เหรอเนี่ย”
       สมพิศหันมาเห็นเอมิกาที่หยุดยืนข้างรถก็แปลกใจ
       “ยืนทำอะไร มาสิ”
       เอมิกาสะดุ้งพยักหน้าแล้วก็รีบตามสมพิศเข้าไป แต่ก็ยังไม่วายหันมามองรถด้วยความสงสัย
     
       ภายในห้องครัว นากกำลังล้างจานก็มีมือมาสะกิดไหล่ นากหันไปเห็นบรรจงยืนยิ้มหวานอยู่ก็มองอย่างไม่ไว้ใจ
       “พี่นากจ๋า พี่นากว่างอยู่อ๊ะป่าว”
       “มีไร” นากถาม
       “จงเพิ่งทาเล็บมา” บรรจงพูดพลางชูมือสองข้างให้ดู
       “แล้วไง”
       “ก็จงต้องซักผ้า แล้วทีนี้จงก็กลัวเล็บพัง พี่นากช่วยจงหน่อยนะ”
       “ถุย นึกว่าเรื่องไร แค่เนี้ย ทำเองเถอะ”
       นากหันไปล้างจานต่อ บรรจงขมุบขมิบปากด่าแล้วก็รีบบีบน้ำตากอดนากจากด้านหลัง นากตกใจ
       “นังจง”
       บรรจงชดราม่าจัดเต็ม เสียใจราวกับแม่ตาย
       “พี่นากอย่าใจดำกับจงนักเลย จงซักผ้าไม่ได้จริงๆ ถือว่าสงสารลูกนกตัวเล็กๆน่ารักๆคนนี้เถอะนะ”
       “อย่ามาดราม่า ฉันรู้จักสันดานแกดี แกมันสตอเบอรี่ตัวแม่”
       บรรจงไม่พอใจอย่างแรง จุ่นเข้ามาเห็นก็ผงะ กำมือแน่นด้วยความโมโหสุดๆ
       “ไอ้นาก ปล่อยมือออกจากน้องจงของฉันเดี๋ยวนี้”
       บรรจงตกใจ นากหันไปมองจุ่น บรรจงได้ทีรีบผละจากนากไปเกาะแขนจุ่น
       “พี่จุ่นช่วยจงด้วย พี่นากจะลวนลามจง”
       นากอึ้งเหวอไปทันที
       “เฮ้ย ไม่ใช่อย่างที่มันพูดนะเว๊ย”
       จุ่นเลือดขึ้นหน้า จุ่นหันไปคว้าตะหลิว
       “แกตา…(ย)”
       จุ่นพุ่งเข้ามา จะใช้ตะหลิวฟาด นากหันไปคว้ากระทะขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง เสียงเต้ง! เต้ง! ของตะหลิวที่ปะทะกับกระทะดังกึกก้อง จุ่นกับนากฟาดฟันกันในห้องครัว บรรจงมองด้วยความสะใจ
       สองคนสู้กันซักพักจนกระทั่งจุ่นทนไม่ไหว ปาตะหลิวออกไป ตะหลิวควงกลางอากาศพุ่งเข้าหานาก นากตกใจเบี่ยงตัวหลบหวืด สมพิศพาเอมิกาเข้ามาพอดี ตะหลิวกระแทกเข้ากลางแสกหน้าสมพิศ
     
       สมพิศตาเหล่ก่อนจะหงายเงิบล้มตึง ทุกคนแทบช็อก
สมพิศนั่งเอาเจลเย็นประคบหน้าผาก หน้าง้ำสุดฤทธิ์ นาก จุ่น บรรจงนั่งอยู่ด้วยกันก้มหน้าจ๋อย เอมิกายืนอยู่ข้างๆ สมพิศเอามือตบโต๊ะดัง ปัง! แล้วลุกขึ้นยืน ทุกคนสะดุ้ง 
       
       นากกับจุ่นเผลอกอดกันครู่หนึ่ง พอหันหน้ามาเจอกันก็ตกใจ รีบผละออกจากกัน
       “เรื่องนี้ฉันไม่ผิดนะป้า ไอ้จุ่นมันเริ่มก่อน” นากบอก
       “ก็ถ้าไม่ใช่เพราะแกมายุ่งกะน้องจง ก็ไม่เกิดเรื่องอย่างนี้หรอก” จุ่นบอก
       “ไอ้โง่ แกถูกนังจงมันหลอกแล้ว”
       “แกด่าฉันว่าโง่เหรอ ไอ้..ไอ้สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ”
       สองคนทำท่าจะด่ากันต่อ สมพิศสุดทนลุกขึ้นตบหัวสองคนพร้อมกัน เพียะ!เพียะ! นากกับจุ่นจ๋อย
       เอมิกาสะดุ้ง
       “กินข้าวหม้อเดียวกันแท้ๆ แต่กัดกันหยั่งกับหมา”
       นาก/จุ่น ร้อง “บรู้ว” ขึ้นพร้อมกันแล้วนึกได้ว่าไม่ใช่ก็ “เยย”
       “ฉันจะคาดโทษแกสองคนเอาไว้ก่อน เพราะมีเรื่องสำคัญจะประกาศ ชะเอม..มานี่”
       จุ่นเงยหน้าเห็นเอมิกาก็ยิ้มลืมเรื่องหัวเสียไปหมดสิ้น นากหันไปเห็นเอมิกาก็ยิ้มออกมาเพราะเอมิกาน่ารัก ส่วนบรรจงไม่ชอบขี้หน้าทันทีเพราะเอมิกาสวยกว่าเธอ
       “นี่คือชะเอมจะมาทำงานกับเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
       นาก/จุ่น มองอย่างเพ้อๆพึมพำชื่อ “ชะเอม” อยู่ที่ริมฝีปาก
       สองคนผงะที่พูดพร้อมกันเลยหันมาเขม่นมองกันอีก
       สมพิศแนะนำทีละคนให้เอมิการู้จัก
       “นี่ไอ้จุ่น”
       “เรียกพี่จุ่นก็ได้นะจ๊ะ เราเจอกันแล้ว จำได้มั้ย”
       เอมิกาทำหน้าแหยๆ
       “จ๊ะพี่จุ่น”
       “โอ๊ย”
       “เป็นอะไร”
       “เสียงหวา(น)ๆของน้องชะเอ(ม)มันบาดคอ..อิอิอิ” จุ่นว่า
       เอมิกาเหวอ สมพิศส่ายหัว หันมาทางนากที่เก็กแมน กำลังจะอ้าปากแนะนำแต่นากพูดมาก่อน
       “ผมชื่อนากฮะ” นากเสยผมทำหน้าหล่อ
       เอมิกายิ้มแหยงๆ สมพิศหันมาทางบรรจง
       “แล้วนี่ก้อ บรรจง”
       เอมิกาหันมาส่งยิ้มให้ บรรจงเชิดใส่ ไม่แยแส เอมิกาหน้าแตก
       “ฉันจะให้ชะเอมพักอยู่ห้องเดียวกับนาก”
       นากดีใจมากลุกขึ้นทำท่า เยส! ก่อนหันไปมองเย้ยจุ่นที่หัวเสียอยู่
       “ถ้างั้นฉันพาน้องชะเอมไปเก็บของที่ห้องก่อนนะ”
       สมพิศพยักหน้า นากรีบคว้ากระเป๋าเอมิกาแล้วจับแขนพาเดินออกไปทันที จุ่นหัวเสียหงุดหงิดแล้วก็หันไปเห็นสายตาบรรจงมองอยู่ จุ่นถึงกับสะดุ้ง
       
       บรรจงหันไปมองตามเอมิกาสีหน้าไม่พอใจอย่างแรง
       
       ที่เรือนคนใช้ เอมิกาเอากระเป๋าเข้ามาวาง พอหันไปก็เจอนากระยะประชิดมองด้วยสายตาหื่น เอมิการีบถอยกรูด
       “เดี๋ยวพี่นากจะพาน้องชะเอมไปหาคุณชื่นฤทัยนะจ๊ะ”
       นากพูดจบก็เสยผมทำหล่อ เอมิกายิ้มแหยงๆ แล้วเสียงมือถือก็ดังขึ้น เอมิการีบเอาออกมา เห็นชื่อหน้าจอ “ป่อง” ก็กดรับแล้วพูดเสียงเบา ทำให้นากมองด้วยความอยากรู้
       “ถึงแล้ว ตอนนี้ยังคุยไม่สะดวก แค่นี้ก่อนนะ”
       เอมิการีบกดปิดโทรศัพท์แล้วเอาใส่กระเป๋ากางเกง หันไปก็เห็นนากยืนมองอยู่
       “แฟนโทรมาเหรอ”
       “ฉันยังไม่มีแฟน”
       เอมิกาพูดจบก็รีบเดินออกไป นากยิ้มพร้อมทำท่าดีใจอยู่คนเดียวแล้วก็รีบตามเอมิกาออกไป
       
       ภายในห้องนั่งเล่น ชื่นฤทัยกำลังร้องเพลงอย่างโหยหวนพร้อมออกลีลาท่าทางที่อินจัด เสียงแหลมๆของชื่นฤทัยทำให้แก้วที่วางโชว์บนชั้นแตกดังเพล้ง เพล้ง เพล้ง!
       
       เอมิกาตกใจกับเสียงเพลงของชื่นฤทัยถึงกับสะดุ้งเฮือก
       “เสียงอะไรอ่ะพี่นาก”
       “เสียงคุณชื่นฤทัย คุณชื่นฤทัยรักการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ มีงานเลี้ยงที่ไหน ก็จะใช้เงินจ้างเจ้าของงานให้จ้างตัวเองไปร้องเพลง เดี๋ยวอยู่ๆไปน้องชะเอมก็จะชินไปเอง”
       
       เอมิกาหน้าเหวอแล้วพยักหน้ารับรู้ นากพาเอมิกาเดินไปตามทาง 



       เอมิกายืนอยู่กับนาก ไม่นานชื่นฤทัยก็เดินออกมา เอมิกามองชื่นฤทัยอย่างตะลึงนิดๆ เพราะการแต่งตัวและกิริยาเหมือนคุณหญิงคุณนายในละครไม่มีผิด ชื่นฤทัยจ้องหน้า เอมิกาได้สติรีบยกมือไหว้ 
       
       ชื่นฤทัยนั่งบนเก้าอี้ เอมิกาเผลอนั่งบนเก้าอี้ นากนั่งพื้นแทบเท้าเอมิกา ชื่นฤทัยถลึงตาใส่เอมิกา นากรีบดึงขากางเกงเอมิกาบอก
       “นั่งพื้น”
       เอมิกานึกได้ก็รีบนั่งพื้นข้างๆนากทันที ชื่นฤทัยค่อยมองอย่างพอใจ
       “ชื่ออะไร”
       “ชะเอมค่ะ”
       “ทำงานมากี่ปีแล้ว”
       เอมิกาโกหกหน้าตาย
       “สามปีค่ะ”
       เอมิกานึกในใจ “ฉิบหายแล้ว กูทำอะไรไม่เป็นเลยนะเนี่ย” แล้วก็ยิ้มแฉ่งออกมา ระหว่างนั้นเสียงอรวิลาสโวยวายดังลั่น
       “อ๊าย อย่าหนีนะนังอ้อย”
       เอมิกา ชื่นฤทัย นากหันไปเห็น หนูอ้อยทาปากสีแดงแบบเลอะๆ ทาตาสีฟ้า ทาแก้มสีชมพู ติดขนตาปลอมแต่ติดไม่ค่อยเป็นเลยดูประหลาดๆกำลังวิ่งหนี อรวิลาส ที่กำลังเหวี่ยงสุดฤทธิ์มาตามทาง แต่ทั้งชื่นฤทัยและนากไม่มีท่าทีตกใจ กลับมองด้วยความเคยชิน ผิดกับเอมิกาที่ดูตกใจกับสิ่งที่เห็น นากบ่นแบบปลงๆ
       “เอาอีกแล้ว”
       “เอาลิปสติกฉันคืนมา” อรวิลาสว่า
       หนูอ้อยยื่นลิปสติกเหมือนจะคืนแต่กลับเอาเก็บใส่กระเป๋า อรวิลาสผงะ
       “พี่อรขี้งก ขี้เหนียว ขี้เหม็น แบร่แบร่แบร่” หนูอ้อยพูดพลางแลบลิ้นใส่
       หนูอ้อยแลบลิ้นใส่อรวิลาสไม่หยุดยิ่งกระตุ้นต่อมโมโหถึงขีดสุด
       “นังเด็กขี้ขโมย ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้จัดการกับแก ฉันไม่ใช่อรวิลาส”
       
       พีรพลที่กำลังดื่มน้ำถึงกับสำลักกับเสียงโวยวายจากด้านนอก วเรศตกใจรีบดึงทิชชู่ให้
       “เกิดเรื่องอีกแล้วแน่ๆ ตั้มรออาในนี้ก่อน อาไปไม่นาน”
       พีรพลรีบเดินออกไปด้วยความร้อนใจ วเรศหันไปมองตามสีหน้ากังวล
       
       หนูอ้อยก็วิ่งหนีแทรกมาตรงกลางระหว่างเอมิกากับนากจนแทบจะเหยียบหัว ทั้งสองคนตกใจ อรวิลาสไล่ตาม ชื่นฤทัยส่ายหัวอย่างเซ็งๆ
       หนูอ้อยวิ่งจะออกประตู แต่ชนเข้ากับพีรพลที่เดินเข้ามา หนูอ้อยรีบเกาะขาพ่อ
       “คุณพ่อขาช่วยหนูอ้อยด้วย พี่อรบ้าไปแล้วค่ะ พี่อรจะกินตับหนูอ้อย”
       “ฉันไม่ใช่ปอบ”
       “มันเกิดอะไรขึ้น”
       “ลูกสาวคุณอาขี้ขโมย”
       หนูอ้อยไม่พอใจบอก
       “หนูอ้อยไม่ได้ขโมย ก็หนูอ้อยขอพี่อรแล้วพี่อรไม่ให้ หนูอ้อยก็เลยต้องหยิบ”
       “นังเด็กบ้า จนขนาดนี้ยังเถียงอีก พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
       พีรพลกับชื่นฤทัยสะดุ้งโหยง ชื่นฤทัยลุกขึ้นยืน
       “นี่ลูกอรด่าแม่เหรอ”
       อรวิลาส นึกขึ้นได้
       “ว้าย ไม่ใช่นะคะ อรไม่ได้ว่าคุณแม่”
       หนูอ้อยย้อนคำ
       “จนขนาดนี้ยังเถียงอีก พี่อรว่าคุณแม่ค่ะ”
       “นังอ้อย ฉันจะตบให้แกฟันร่วงเลยคอยดู”
       หนูอ้อยยื่นหน้ายื่นตาท้าทาย
       “ตบไม่กลัว กลัวไม่ตบ มาสิมาสิ แบร่แบร่”
       อรวิลาสกรี๊ดลั่นบ้าน
       “อ๊าย นังเด็กบ้า”
       หนูอ้อยมองอรวิลาสอย่างไม่พอใจเลยหยิบลิปสติกออกมาหมุนแล้วปาลงพื้นพร้อมกับเหยียบๆๆ อรวิลาสตกใจแทบสิ้นสติ พีรพลผงะ ชื่นฤทัยมองอย่างเหนื่อยหน่าย
       “สลิปสติกชาแนลของฉัน”
       หนูอ้อยเชิดใส่ อรวิลาสสุดทนพุ่งเข้าไปจะจับตัวหนูอ้อยที่รีบหลบหลังพีรพลกับชื่นฤทัย แล้วจับสองคนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนชนกันเอง แล้วทำหน้าหลอกล่ออรวิลาส
       “จ้างให้ก็จับไม่ได้หรอก แบร่แบร่”
       “หยุดนะ หยุด หยุด” ชื่นฤทัยโพล่งเสียงดัง
       หนูอ้อยวิ่งหนี อรวิลาสวิ่งไล่ ชื่นฤทัยสุดทนแหกปากกว้างเสียงลั่น
       “หยุดได้แล้ว”
       จังหวะนั้นเองหนูอ้อยเตะด้ามลิปสติกบนพื้นลอยเข้าไปในปากชื่นฤทัยเต็มๆ ชื่นฤทัยตาเหลือก อรวิลาส หนูอ้อย พีรพล เอมิกา นากตกใจ
       อรวิลาสและหนูอ้อยร้อง “คุณแม่” ขึ้นพร้อมกัน
       “คุณชื่น” พีรพลเรียก
       เอมิกากับนากเห็นท่าไม่ดี นากรีบสะกิดเอมิกา
       “พี่ว่าเราออกไปกันดีกว่า เรื่องครอบครัวปล่อยให้เค้าเคลียร์กันเอง”
       เอมิกาพยักหน้าเห็นด้วยเต็มที่ นากกับเอมิกาเดินออกไปก็สวนกับวเรศที่เดินออกมาจากอีกทางพอดี วเรศเดินเข้ามาในห้องเห็นชื่นฤทัยมีลิปสติกคาปากอยู่ก็ตกใจ อรวิลาสหันไปเห็นวเรศก็ผงะ รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่แม่จะด่า
       อรวิลาสรีบถลาเข้าไปหา
       “พี่ตั้ม”
       “ผมเห็นคุณอาไปนาน ผมเป็นห่วงเลยเดินออกมา มีอะไรกันรึเปล่าครับ”
       อรวิลาส รีบตอบเสียงสวย
       “ไม่มีค่ะ ไม่มีอะไรเลย อรกับหนูอ้อยแค่หยอกเล่นกันเฉยๆ”
       อรวิลาสหันไปกอดหนูอ้อยทำท่าเป็นนางฟ้า ก่อนหยิบลิปสติกมาจากปากชื่นฤทัยยื่นให้
       “หนูอ้อยขา พี่อรให้ลิปสติก เอาไปใช้ได้เลยนะคะ”
       หนูอ้อย พีรพลและชื่นฤทัยเหวอที่เห็นอรวิลาสหอมแก้มน้องซ้ายขวาก่อนจะหันไปยิ้มหวานแอ๊บแบ๊วให้วเรศ
       “ถ้าหมดเรื่องแล้ว เราก็เข้าไปคุยงานกันต่อเถอะ”
       พีรพลเดินเข้าไปในห้อง วเรศหันไปมองอรวิลาสอีกครั้ง อรวิลาสยืนยิ้มแสนซื่ออยู่ข้างหนูอ้อย วเรศมองๆแล้วก็เข้าไปในห้อง เท่านั้นแหละ! อรวิลาสก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หันมากระชากลิปสติกคืนจากหนูอ้อยทันที
       “อย่าหวังเลยว่าฉันจะให้แก”
       อรวิลาสสะบัดหน้าเชอะก่อนจะเดินออกไป หนูอ้อยกำมือแน่นแค้นใจ หันไปฟ้องชื่นฤทัย
       “คุณแม่ดูพี่อรสิคะ”
       “เราไม่ต้องโทษพี่อร เราน่ะผิด ที่ไปเอาของๆพี่เค้ามา เฮ้อ ฉันอยากจะบ้าตาย มีลูกไม่ได้ดั่งใจซักคน”
       
       ชื่นฤทัยว่าแล้วก็เดินออกไป เหลือแต่หนูอ้อยที่ยืนเคว้งอยู่ในห้องคนเดียวทั้งเสียใจทั้งโมโห 



       เอมิกากับนากเดินกันไปคุยกันไป 
       
       “คุณชื่นมีลูกสองคน อย่างที่น้องชะเอมเห็น คนโตชื่อคุณอรวิลาสเกิดจากผัวเก่า ส่วนตัวเล็กชื่อคุณหนูอ้อยเป็นลูกผัวใหม่คุณชื่น ซึ่งก็คือคุณพีรพลที่เพิ่งเข้ามาแล้วดูจ๋อยๆคนนั้นแหละ ลูกผัวเก่ากับผัวใหม่เข้ากันไม่ได้ ทะเลาะกันเป็นประจำ ถ้าวันไหนไม่ได้ทะเลาะวันนั้นหิมะคงตก”
       เอมิกาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
       
       ภายในบ้านแป๊ะ
       แป๊ะเขียนขอบตาดำ ขนตางอน หน้าขาวเด้งกำลังเดินสำรวจผู้ชายล่ำบึก 3 คนที่ยืนกางขา เอามือไพล่หลังเหมือนทหาร แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นลายสัตว์ต่างๆ ทั้งเสือ งู ม้าลาย แป๊ะหันมาทางเก้งกวางกะเทยอีกประมาณ 5-6 คนที่นั่งกันสลอน
       “นี่คือคอลเลคชั่น Wild hot summer ทำจากผ้าฝ้าย 100 % ที่มีความยืดหยุ่น สูง”
       แป๊ะพูดพลางดึงขอบกางเกงนายแบบคนหนึ่ง ก่อนจะปล่อยขอบกางเกงตีกับเอวนายแบบเปรี๊ยะ! นายแบบถึงกับสะดุ้ง
       “สวมใส่สบาย คลายร้อน เหมาะกับอากาศฮ็อตๆของบ้านเรา”
       ผู้ช่วยแป๊ะเป็นเก้งสไตล์ปุ๊โกะชื่อ”พายไก่” รีบเสนอหน้าเอาใจ
       “สมองที่อัจฉริยะของคุณแป๊ะไม่เคยทำให้เราผิดหวัง พายไก่รู้เลยว่า ทันทีที่เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของคุณแป๊ะจะต้องขายหมดภายในหนึ่งชั่วโมง เลิศ”
       พายไก่ลุกขึ้นปรบมือเอาใจ ผู้ร่วมประชุมคนอื่นรีบลุกขึ้นปรบมือตามด้วยความยินดี แป๊ะยิ้มยืดด้วยความภาคภูมิใจ
       ที่มุมหนึ่ง นากกับเอมิกาแอบดูอยู่
       “นี่คือน้องคนสุดท้องของคุณชื่น ชื่อคุณแป๊ะ นางเป็นตู๊ด และเป็นดีไซน์เนอร์ เจ้าของห้องเสื้อแป๊ะดีไซน์”
       “แล้วผู้ชายพวกนั้น เป็นนายแบบเหรอ” เอมิกาถามอย่างสงสัย
       “ไม่ใช่ เป็นคนใช้อย่างเราเนี่ยแหละ คุณแป๊ะเจาะจงว่าคนใช้ของนางต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น”
       แป๊ะที่กำลังลัลล้าหันมาเห็นเอมิกากับนากก็ชะงัก หน้าตึงขึ้นมาทันที รีบเดินมาหาพลางเท้าสะเอว
       “ชะนีสองนางมายืนทำอะไรตรงนี้ยะ”
       นากกับเอมิกาสะดุ้ง โดยเฉพาะเอมิกาที่ดูตื่นๆ
       “อ่า นากพาคนใช้คนใหม่ น้องชะเอมมาแนะนำให้คุณแป๊ะรู้จักน่ะฮะ”
       แป๊ะมองเหยียด
       “คนใช้ผู้หญิง ไม่อยากรู้จัก ไปไกลๆ จำไว้ว่าบ้านนี้ห้ามชะนีเข้าใกล้เกินสองเมตร นาก! เดี๋ยวแกไปเอาแชมเปญที่บ้านพี่ชื่นมาให้ฉัน ฉันจะดื่มฉลองกับเพื่อนๆ”
       “ฮะ”
       นากรีบจับแขนเอมิกาพาเดินออกไป
       
       นากกับเอมิกาเดินออกมาด้วยกัน
       “คุณชื่นมีน้องชายคนเดียวเหรอ” เอมิกาถาม
       “คุณชื่นยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน”
       นากหันไปทางบ้านอรทัย เอมิกาหันไปมองตาม
       “นู่นไง บ้านคุณอรทัยอยู่กับคุณอเนก ผัวแก่แค่สองคน ทางที่ดีคนสวยๆอย่างน้องชะเอมอย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด”
       เอมิกายังไม่ทันถามว่าทำไม นากก็รีบพูดต่อ
       “พี่รีบไปเอาแชมเปญมาให้คุณแป๊ะก่อน รายนั้นใจร้อน พี่ไม่อยากโดนเหวี่ยงใส่ น้องชะเอมรอพี่ตรงนี้ อย่าไปไหน”
       เอมิกาพยักหน้า นากรีบออกไป เอมิกาก็หันไปมองบ้านอรทัยด้วยความอยากรู้
       “ทำไมต้องไม่ให้เข้าใกล้ด้วย”
       
       ด้านหลังเอมิกา อเนกค่อยๆย่องออกมาจากหลังพุ่มไม้ มองเอมิกาด้วยรอยยิ้มหื่น เอามือถือออกมากดถ่ายบั้นท้ายของเอมิกาแล้วหัวเราะเบาๆอย่างมีความสุข โดยที่เอมิกาไม่รู้ตัว ซักพักเอมิกาหันมาเห็นอเนกก็ตกใจมาก
       “คุณทำอะไร”
       อเนกรีบยกมือขึ้น
       “เปล่าจ๊ะ”
       เอมิกาสงสัยรีบเข้ามาแย่งมือถือ โดยที่อเนกยังไม่ทันตั้งตัวแล้วก็เห็นบั้นท้ายตัวเอง
       “เฮ้ย”
       อเนกยิ้มแหยๆพลางจับมือเอมิกาหมับ
       “น้องรู้ตัวรึเปล่า ว่าน้องน่ะสเป็กพี่เลย ขาวๆ หน้าใสๆ ตาโตๆ แบ๊วๆแบบนี้ โดน”
       เอมิกาตกใจมากยังไม่ทันดึงมือออก อรทัยออกมาเห็นพอดีก็โมโหหึง ปรี่เข้ามาผลักเอมิกาอย่างแรง อเนกรีบเอามือถือคืนมา เอมิกาล้มหงายหลังจนก้นจ้ำเบ้า
       “นังบ้า แกทำอะไรผัวฉัน”
       เอมิกามองอรทัยอย่างอึ้งๆ เพราะดูแก่กว่าชื่นฤทัยมาก
       “ถามสามีคุณดูเถอะ ว่าเค้าทำอะไรฉัน”
       อรทัยหันขวับไปจ้องหน้าอเนก อเนกรีบส่ายหัวบอก
       “เค้าเปล่าทำอะไรนะเมียจ๋า”
       อรทัยนิ่วหน้าอย่างสงสัยพลงมองมาที่มือถือในมืออเนก อรทัยรู้ทันรีบแย่งมาแล้วเปิดดูเห็นอเนกถ่ายบั้นท้ายเอมิกาเอาไว้ อรทัยปรี๊ดแตก
       อรทัยจิกหูผัว เสียงดังขึ้นมา
       “ไอ้ผัวลามก”
       “โอ๊ยโอ๊ย เมียจ๋า ผัวเจ็บ”
       อรทัยยันอเนกโครม! ไปแทบเท้าของเอมิกา เอมิกาตกใจรีบกระโดดหนี อรทัยหันมาลากเอนกเข้าบ้าน อเนกร้องโหยหวน ตามด้วยแรงสั่นสะเทือน
        
       เอมิกามีสีหน้าเจ็บปวดแทน แล้วก็รีบเดินออกไป 



       ภายในห้องทำงานของพีรพล วเรศกำลังเก็บเอกสารใส่กระเป๋า 
       
       “ที่เราคุยกันวันนี้ อาจะสรุปมาให้เธอฟังอีกครั้ง”
       “ครับ”
       “นี่ใกล้เที่ยงแล้ว อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับ”
       “ถ้างั้นผมขอเอางานไปเก็บที่รถก่อนนะครับ”
       วเรศหิ้วกระเป๋าและหอบเอกสารเดินออกไป
       
       วเรศหอบงานออกมาเก็บในรถ แต่กลับพลาดทำเอกสารหล่นกระจายเต็มรถ วเรศเลยต้องเข้ามาในรถ ปิดประตู แล้วเก็บเอกสาร
       เอมิกาสีหน้ายังตื่นๆ กับเหตุการณ์เมื่อครู่พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอเห็นรถวเรศก็ชะงักหยุดมอง
       ด้วยความอยากรู้จริงๆ ว่าเป็นรถใคร
       เอมิกาหันไปมองรอบๆ ไม่มีคนอยู่ก็รีบย่องเข้าดูที่รถใกล้ๆ ยื่นหน้าเข้าไปติดกระจกพยายามจะมองเข้าไปข้างใน แต่มองไม่เห็นเพราะติดฟิล์มปรอท
       วเรศหันมาก็สะดุ้งโหยงที่เห็นเอมิกาที่เอาหน้าแนบกับรถดูน่ากลัว
       เอมิกาผละออกมา
       “ไม่มีใครอยู่”
       เอมิกาครุ่นคิด เห็นกระจกรถมีฝุ่นก็ยิ้มมุมปาก เอานิ้วเขียนเป็นตัวหนังสือ
       “รถคันนี้เจ้าของไม่มีมารยาท”
       เอมิกายิ้มชอบใจ สนุกอยู่คนเดียว
       วเรศค่อยๆเปิดประตูลงมาจากอีกฝั่งของรถ เอมิกาไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ตั้งใจเขียน วเรศเดินอ้อมมายืนด้านหลังเอมิกา
       “เขียนว่าอะไร”
       “ก็เขียนว่ารถคันนี้ เจ้าของไม่มีมารยาทน่ะสิ”
       แล้วเอมิกาก็นึกขึ้นมาได้หันขวับไปเห็นวเรศยืนอยู่ เอมิกาตาโต อ้าปากค้าง หน้าเหวอมาก คิดถึงภาพวันที่เจอวเรศในผับ ภาพที่เธอตกเวทีไปนั่งตักเค้า ภาพที่เค้าช่วยเธอจากคนร้าย ภาพที่วเรศต่อว่าเธอ
       เอมิกาแทบช็อกพลางคิดในใจ
       เอมิกาคิดในใจ
       “นี่มันไอ้ผู้ชายขี้บ่นที่เราเจอในผับ ทำไมโลกกลมแบบนี้ เค้าจะจำเราได้รึเปล่า”
       เอมิการีบก้มหน้า หันหลังเดินหนีไปทันที เพราะกลัวว่าวเรศจะจำได้ แต่วเรศจำไมได้ และไม่ยอม
       “นี่ จะเดินหนีไปไหน มาเช็ดที่เธอเขียนไว้บนรถฉันก่อน”
       เอมิกาไม่สน รีบเดินๆๆ วเรศไล่ตามไปติดๆ กระชากแขนเอมิกา แล้วดึงเข้ามาแต่แรงไปหน่อย ทำให้ตัวเอมิกาประชิดติดกับวเรศ พอเห็นหน้าใกล้ๆ วเรศเริ่มคุ้น
       “ทำไมเราคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้จัง” วเรศคิดในใจ
       เอมิกาเห็นวเรศจ้องมาตาไม่กระพริบแล้วคิดในใจ
       “กูว่าแล้วว่ามึงต้องจำได้ ซวย ซวยแน่ๆเอมิกา”
       เอมิกานึกออกรีบทำหน้าหมูใส่วเรศ วเรศสะดุ้งตกใจ แล้วเสียงอรวิลาสก็ดังขึ้น
       “อ๊าย”
       วเรศกับเอมิการีบผละออกจากกัน อรวิลาสไม่พูดพล่ามทำเพลง เข้ามาตบหน้าเอมิกา เพียะ!! เอมิกาอึ้งมากเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครตบหน้า อรวิลาสจะตบอีกข้าง วเรศรีบจับแขนอรวิลาสเอาไว้
       “หยุดนะอร”
       อรวิลาสรู้ตัว รีบทำหน้าแบ๊วและทำเป็นตกใจทันที
       “ตายแล้ว นี่อรทำอะไรลงไป อรไม่รู้ตัวเลย”
       วเรศมองไม่เชื่อ เอมิกาจับหน้าตัวเองด้วยความอึ้งไม่หาย
       “อรขอโทษนะคะที่อรทำร้ายเพื่อนพี่ตั้ม”
       “นี่ไม่ใช่เพื่อนพี่”
       อรวิลาส เสียงหายแบ๊วหันมามองเอมิกาทันที
       “อ้าว แล้วแกเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง”
       “เราเจอกันแล้วไงคะ” เอมิกาว่า
       อรวิลาวนิ่วหน้าอย่างสงสัย เอมิกาพูดต่อ
       “อ้อ.แต่เมื่อกี้คุณคงไม่ทันสังเกตเห็น ฉันชื่อชะเอม เป็นคนใช้คนใหม่ค่ะ”
       อรวิลาสชะงัก วเรศมองหน้าเอมิกายังคุ้นไม่หาย แต่นึกไม่ออกว่าเจอที่ไหน เอมิกาก้มหน้างุดเพราะเห็นวเรศจ้องหน้าตลอด
       “ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
       เอมิการีบก้มหน้าเดินออกไป อรวิลาสหันไปควงแขนวเรศ วเรศรีบดึงแขนออก อรวิลาสเสียหน้าแต่จำต้องยิ้ม
       “พี่ตั้มไปรอที่ห้องรับรองแขกก่อนนะคะ เดี๋ยวอรจะตามไป”
       อรวิลาสเดินออกไป วเรศนิ่งครุ่นคิด
       “ชะเอม เคยเห็นหน้าที่ไหน”
       วเรศพยายามนึกแต่นึกไม่ออก
       
       เอมิกาเดินหน้าแย่ๆมาตามทาง
       “เค้าจะจำได้มั้ยวะว่าเราเป็นโคโยตี้ในผับนั่น แต่ถ้าเมื่อกี้เค้าจำเราได้ เค้าคงพูดออกมาแล้ว เค้าไม่พูด แสดงว่าเค้าจำเราไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ มีสตินะเอมิกา”
       เอมิกาพยายามสะกดจิตตัวเอง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา แล้วก็รีบเดินต่อไป
       
       อรวิลาสแผดเสียงลั่นห้องรับแขก
       “ป้าสมพิศ บรรจง”
       สมพิศกับบรรจงรีบตาลีตาเหลือกวิ่งมาหา อรวิลาสมองด้วยสายตาเหยียดมาก
       “เตรียมอาหารกลางวันเพิ่มอีกหนึ่งที่เพราะพี่ตั้มจะอยู่ทานด้วย แต่ฉันขอสั่งเมนูพิเศษ สตูลิ้นวัว ให้พี่ตั้มคนเดียว”
       สมพิศกับบรรจงรับคำ “ค่ะ”
       “เจ้าค่ะสิ สอนกี่ครั้งแล้วไม่รู้จักจำ ดูสิเนี่ยทำให้ฉันอารมณ์เสีย ไปแต่งหน้าเพิ่มดีกว่า”
       อรวิลาสเดินออกไป สมพิศกับบรรจงมองด้วยความไม่พอใจ
       “ยังมีที่ให้เติมหน้าอีกเหรอ” บรรจงว่า
       “หยุดเม้าท์แล้วก็รีบไปทำอาหาร เดี๋ยวแม่เจ้าประคุณจะมาอาละวาดอีก” สมพิศบอก
       สมพิศกับบรรจงเดินออกไปดำเนินการตามสั่งทันที
       
       สมพิศวุ่นวายอยู่ในครัวโดยมีบรรจงคอยช่วย พอสมพิศเห็นเอมิกาเดินเข้ามาก็รีบส่งเสียงทันที
       “หล่อนน่ะมาทำงานวันแรกนะยะ ไม่ได้มาพักตากอากาศ หายไปไหนซะตั้งนาน เอ้า มาเร็วๆสิ อย่ามัวเงอะงะ ช่วยบรรจงยกกับข้าวออกไป แล้วก็ช่วยจัดโต๊ะด้วย”
       “ค่ะค่ะ”
       เอมิกายกถาดแล้วก็ผงะเพราะมันค่อนข้างหนัก บรรจงเห็นท่าทางก็อดแขวะไม่ได้
       “ซุ่มซ่ามจริงๆเลย จานใบนึงหลายร้อยนะยะ แตกใบหนึ่ง เงินเดือนแกก็ไม่เหลือแล้ว”
       
       เอมิกาไม่พอใจแล้วก็ยกถาดตามบรรจงออกไป

No comments:

Post a Comment