Monday, October 22, 2012

อ่านละครแรงเงา ตอนที่ 11 (3)


มุนินทร์หลบมุมมาหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่าง กำลังจะออกจากงาน วีกิจเดินตรงมาเห็นเข้าพอดี วีกิจรีบเข้าขวางมุนินทร์
       “นึกว่าหลบพ้นเหรอครับ”
       “อย่ามาขวางนะ ถอยไป”
       วีกิจมองมุนินทร์อย่างโกรธขึ้ง มุนินทร์จะเดินไป วีกิจจับมือมุนินทร์ไว้แน่น
       “ทำเรื่องเอาไว้  ผมไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ หรอก”
       “ทำไม จะจับตัวฉันไปให้อาหญิงคุณงั้นเหรอ”
       “มันก็น่าอยู่หรอก มานี่เลย”
       วีกิจกระชากร่างของมุนินทร์เข้าไปในมุมมืด
       
       ร่างมุนินทร์กระแทกกับผนังอย่างแรง วีกิจยึดร่างของมุนินทร์ไว้ มุนินทร์พยายามดิ้น
       “ไม่ต้องดิ้น คิดว่าสู้แรงผมได้งั้นเหรอ” มุนินทร์หยุดดิ้น เชิดหน้ามองวีกิจ “คุณคิดว่าคุณเป็นเทพพอที่จะจัดการกับใครก็ได้ทั้งนั้นล่ะซี”
       “เทพหรือไม่เทพ วันนี้ฉันก็กระชากหน้ากากผู้ดีของอาสะใภ้คุณประจานให้เห็นกันทั้งงาน”
       “คุณโหดกว่าที่ผมคิด มีความสุขนักหรือกับการทำร้ายคนอื่น”
       “คนที่ก่อกรรมไว้  ต้องชดใช้กรรมของมัน”
       “แล้วกรรมที่คุณก่อไว้ล่ะ เมื่อไหร่จะถึงคราวที่คุณถูกชดใช้”
       “ฉันไม่ใช่คนก่อ  ฉันคือคนที่มาชำระกรรมต่างหาก”
       “ไม่มีใครชำระกรรมของใครได้ และตอนนี้คุณกำลังสร้างกรรมต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด”
       “หยุดเถอะ คุณมันจะไปรู้อะไร คุณมันใสซื่อเกินกว่าที่จะรู้ว่าบางครั้งโลกมันมีแต่ด้านเลว และเลวที่สุด” วีกิจขบกรามแน่น “คุณก็แค่ผู้ชายไร้เดียงสาติดแม่ก็แค่นั้น”
       “มุตตา” มุนินทร์ยิ้มเยาะ
       “ยอมรับความจริงไม่ได้ใช่ไหม” วีกิจทั้งโกรธ ทั้งแค้น
       “มันไม่ใช่ความจริงต่างหาก ผมไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่คุณคิดหรอก”
       วีกิจรวบร่างมุนินทร์เข้ามาแล้วประทับจูบอย่างรุนแรงเร่าร้อน มุนินทร์พยายามดันร่างออก วีกิจกลับจูบอย่างป่าเถื่อน  มุนินทร์นิ่งไป  วีกิจรู้สึกตัวผละร่างออก มุนินทร์น้ำตาไหลพราก  วีกิจหอบหายใจมองมุนินทร์อย่างรู้สึกผิด  และงุนงงกับน้ำตาของมุนินทร์
       “คุณกลับไปเถอะ” มุนินทร์เช็ดน้ำตา
       “รู้ไว้นะ ที่ฉันทำไปทั้งหมด ฉันไม่ได้ต้องการตัวอาภพของคุณหรอกมันก็แค่ความแค้นเท่านั้น”
       วีกิจมองมุนินทร์อย่างงุนงง มุนินทร์แยกออกมาน้ำตายังไหลพราก วีกิจมองตามเห็นมุนินทร์เดินไปตามทางยาวหายไปในความมืด
       
       คืนนั้นเมื่อเจนภพกลับบ้านก็พบนพนภากำลังปาข้าวของเกลื่อนห้อง พอนพนภาเห็นเจนภพก็ถลาเข้ามาตบตีทันที  ต่อ ต้อมตะลึง  แต้ว ยายแหวงกรีดร้อง
       “กลับมาทำไม ออกไปเลย ไปอยู่กับมัน”
       “นี่มันเรื่องอะไรกัน ปล่อย”
       “รู้ไหมว่าคืนนี้มันทำฉันแสบแค่ไหน  อีมุตตามันบุกเข้าไปในงาน มันฉีกหน้าฉันกลางงานไม่มีชิ้นดี”
       “มุตตาบุกไปในงานเหรอ”
       “ไม่เท่านั้นหรอกนะ มันยังเอาคลิปอุบาทว์ที่คุณไปพลอดรักกับมันในรถไปฉายโชว์ประจานในงานอีก ไง  อยากได้มันเป็นเมียออกหน้าใช่ไหมถึงขั้นจะซื้อรถให้มันน่ะ”
       “เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะนภา”
       “ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนมัน ฉันหมดความอดทนแล้ว ไปเลย ออกไปจากบ้านฉัน ไปซี้ หน้าด้านอยู่ทำไม”
       นพนภาถลาเข้ามาทุบตีเจนภพ ตบหน้าเจนภพอย่างแรงหนึ่งฉาด เจนภพนิ่งงันไป เจนภพบีบคอนพนภาอย่างแรง นพนภากรีดร้อง ต่อเข้ามาผลักพ่อ  ชกเข้าตามตัวแล้วผลักหน้าพ่อหงายไป แล้วดึงแม่มากอดไว้ นพนภาไอโขลก
       “อย่าเข้ามานะ  อย่าทำอะไรแม่นะ” ต่อตวาด
       “ฉันไม่ทำอะไรแม่แกหรอก แค่แตะยังไม่อยากแตะเลย”
       วีกิจกับสร้อยคำเข้ามาพอดี
       “จะฆ่าฉันให้ตายใช่ไหม จะได้ไปเสพสุขกับมัน”
       “ถึงคุณไม่ตาย  ผมก็เสพสุขกับเขาได้ทุกวันอยู่แล้วนี่”
       วีกิจสะอึก นพนภาร้องกรี๊ดน้ำตาอาบหน้า ผมฟูดูวิกลจริต
       “สารเลว  คนผีนรก”
       “แล้วคุณล่ะ  มาจากสวรรค์ขุมไหน”
       นพนภาเข้าตบตีเจนภพอีก วีกิจ สร้อยคำ ต่อเข้าแยก  เสียงขรมไปหมด
       “โอ๊ย หุบปากซะที กัดกันยังกะหมา”
       ต้อมบอกออกมา ทุกคนชะงักตาเบิกกว้าง นพนภาสติขาดผึงโผนเข้าตบลูกสาวคนเล็กเต็มเหนี่ยว ต้อมหัวทิ่มล้มกลิ้ง นพนภาตีซ้ำ 2-3 ที ต้อมร้องไม่ออกเพราะไม่เคยโดนมาก่อน
       “ด่าพ่อด่าแม่เหรอ  อีลูกเวร”
       เจนภพพุ่งมาผลักนพนภาเซไป ต่อประคองไว้ เจนภพคว้าต้อมมากอด  ต้อมร้องวี๊ดๆ
       “อย่ามาพาลลูกนะ  ลูกมันไปเกี่ยวอะไรด้วย  บ้า  เป็นแม่ภาษาอะไรถึงได้บ้าอย่างนี้”
       “อีลูกเนรคุณอย่างนี้เอาไว้ทำไม  ทั้งลูกทั้งผัวอัปรีย์ทั้งนั้น”
       เจนภพอุ้มต้อมพาออกไป  ต้อมกอดพ่อ  ร้องไห้ไม่เลิก นพนภาเซต่อพาไปนั่งโซฟา นพนภาทำท่าจะเป็นลมอีกครั้ง ต่อน้ำตารื้นสงสารแม่  สร้อยคำน้ำตาไหลไปด้วย
                       “เก็บกวาดซะ”
       สร้อยคำสั่งสาวใช้ แต้ว ยายแหวงรีบเก็บกวาด สร้อยคำเข้าไปดูแลนพนภา วีกิจยืนคว้างกลางห้องหดหู่บอกไม่ถูก
     
       อ่านต่อเวลา 17.00น.



       เมื่อกลับมาบ้านสร้อยคำและวีกิจนั่งแผ่หมดแรงบนโซฟา บัวเอาน้ำมาวางให้แล้วถอยไปเข้าครัว
       “เฮ้อ  ยายมุตตานี่ร้ายกาจจริงๆ นะ”
       “ผมขอร้องเขาไม่รู้กี่หนแล้วเขาก็ไม่ยอมเลิก” วีกิจบอกอย่างขมขื่นแล้วคลายเนคไทที่มุนินทร์ซื้อให้
       “แม่ว่าแกอย่าไปยุ่งกับเขาเลยตากิจ เขาผูกก็ให้เขาแก้กันเอง  แกไปยุ่งเกี่ยวเดี๋ยวบ่วงจะมาพันคอแกด้วย  รู้ไหม หมู่นี้หน้าตาแกไม่เป็นสุขเลย”
       วีกิจจับเนคไทค้าง
       “ผมนอนไม่ค่อยหลับ”
       “คงคิดเรื่องแม่มุตตา ยังตัดใจไม่ได้ใช่ไหม”
       “ครั้งก่อนที่ตายังเป็นคนเก่า พอเขาปฏิเสธผมก็ไม่ได้เจ็บอะไร ผมคงชอบเขาเหมือนเพื่อนเหมือนน้อง”
       “ดีแล้วล่ะ แกจะได้เจอคนใหม่ที่ใช่เสียที แม่เคยบอกแกแล้วว่าถ้าแกเจอใครที่ทำให้แกร้อนรุ่มไปหมด ทั้งห่วง  ทั้งหวง  ทั้งหึง  ถ้าเขาไม่ได้ดั่งใจก็เจ็บปวดไปหมด อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะเป็นจะตาย นั่นแหละของแท้ล่ะ” วีกิจใจหายวูบ  เพราะนั่นคือความรู้สึกกับมุตตาคนใหม่  “ไปลูก ไปนอนได้แล้ว”
       สร้อยลุกไป วีกิจยังนั่งซึม พึมพำออกมาเบาๆ
       “ทำไงดีครับแม่ นั่นแหละครับที่ผมรู้สึกกับมุตตาตอนนี้”
       
       หลายคืนต่อมาที่เดอะซองผับมีนักเที่ยวเข้ามาใช้บริการอย่างคึกคัก ลูกค้าที่เข้ามาเที่ยวเป็นนักศึกษาซะส่วนมาก ที่เคาน์เตอร์ใกล้บาร์เครื่องดื่มมีพนักงานชายหญิงหน้าตาเจนโลก ต้องอยู่ที่โต๊ะแคชเชียร์ดูเยาว์วัยแปลกแยกออกมา  ต้องมีอาการกระสับกระส่าย เหงื่อซึมออกมือ ปากคอแห้งผากจิบน้ำไม่หาย จึงเรียกพนักงานหญิง
       “พี่โรสคะ หนูจะเข้าห้องน้ำ ดูแทนให้หนูหน่อย”
       ต้องลุกไปมีอาการเซนิดๆ  แล้วเดินไปที่บันได ประพงส์เดินมาที่เคาน์เตอร์ พนักงานหญิงชายสองคน
       มองตามต้อง
       “เฮ้อ คงไม่หน่อยล่ะท่าทางจะไปยาว”
       “ไปเล่นยาชัวร์”
       สองคนหันมาเห็นประพงส์ก็สะดุ้งสุดตัว หลบตาขยับถอยโดยอัตโนมัติ ประพงส์มองตามต้องไปสายตาดูกระหยิ่ม
       
       ต้องเข้ามาในห้องน้ำมือที่ถือขวดยาสั่นระริก มองดูเงาสะท้อนตัวเองให้กระจกเงาแล้วเปิดขวดยา มองดูเงาตนเองอีก
                       “อะไรที่มันก่อทุกข์ เราต้องหยุดมัน”
       ต้องนึกถึงคำพูดสร้อยคำแล้วลังเล หันขวับ ก้าวไปที่โถชักโครกเทยาลงโถ กดน้ำตาม น้ำไหลวนพายาหมุนติ้วลับหายไป
       
       ในห้องพักเปิดไฟไว้สลัว มีเสียงเคาะประตู
       “คุณต้อง คุณต้อง” ทุกอย่างเงียบสนิท ประพงส์เปิดประตูเข้ามา “คุณต้อง”
       ประพงส์กวาดตามอง ที่หน้าโซฟาต้องนอนขดตัวกับพื้น ดูดิ้นรนทรมานสติเหลือเพียงครึ่ง
       “พ่อขา แม่ขา ช่วยหนูด้วย”
       ประพงส์ดึงต้องมากอดไว้
       “ไม่เป็นไรนะครับคุณต้อง ผมมาช่วยแล้ว”
       
       ทางเดินยาวในโรงพยาบาลดูเวิ้งว้าง ต่อแต่งตัวเรียบๆ เดินแกมวิ่งมาที่ห้องพักคนไข้ซึ่งต้องนอนอยู่บนเตียงหน้าเซียว แต่ดวงตามีแววมุ่งมั่นและสุขใจบางอย่าง  ต่อยืนอึ้งอยู่ข้างเตียง
       “ไหนว่าพี่บำบัดกับหมอ แล้วเลิกใช้ยาแล้วไง”
       “ฉันกลับมาใช้อีก เพราะที่ผับน่ะมันขายกันยิ่งกว่าตลาดมืดอีก”
       “แม่รู้ไหม”
       “ไม่รู้มั้ง ต่อ ตอนนี้ฉันจะต้องเลิกให้ได้ หมอบอกว่าแค่กินยาต่อเนื่องซักช่วงนึงเท่านั้น แล้วฉันก็จะไม่เป็นอะไรอีก”
       “แล้วทำไมพี่ไม่บอกพ่อกับแม่” ต้องยักไหล่
       “แกอยากให้แม่เป็นบ้ามากกว่าเดิมหรือ ส่วนพ่อให้เขามีความสุขอยู่กับอีหนูของเขาไปเถอะ” ต่อลังเลถอนใจยาว “อย่าบอกแม่นะต่อ” ต่อพยักหน้า “ขอบใจ ถือว่าฉันเป็นหนี้แกหนนึง”
       ต่อดึงเก้าอี้มานั่ง
       “แล้วคืนนี้จะบอกพ่อแม่ยังไง”
       “ก็บอกว่าฉันอาหารเป็นพิษ นอนให้น้ำเกลือคืนนึง”
       “แล้วนายประพงส์อะไรนั่นล่ะ”
       ต้องดวงตาวิบวับขึ้นมา
       “เขาบอกว่าจะไม่พูดอะไรเหมือนกัน ค่าโรงพยาบาลอะไรทั้งหมดเขาก็จะออกให้เอง”
       ต่อมีแววอึดอัดระแวง
       “ผมว่าเขาดูแปลกๆ”
       “ฉันรู้  แต่ว่าเขาดีกับฉันมากเลยนะ”
       
       วันต่อมาต่อมาออกกำลังกายที่ฟิตเนสกับก้อง
       “พี่สาวผมกำลังเลิกยาฮะ มาขอให้ผมช่วยปิดเป็นความลับ”
       “ที่จริงต่อควรจะปรึกษาคุณพ่อคุณแม่มากกว่า”
       “ผมกลัวพ่อกับแม่จะทำเป็นเรื่องใหญ่โตเกินเหตุ  แล้วมันอาจจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่” ก้องทำหน้าเข้าใจ
       “โอเค ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ว่าต่อทำถูกแล้ว” ต่อใจชื้นขึ้น
       “ขอบคุณครับพี่”
       ก้องพูดอย่างปรกติดวงตาดูอบอุ่นจริงใจ ต่อนิ่งอึ้งสับสนลังเล

No comments:

Post a Comment