Tuesday, August 14, 2012

เรื่องย่อ รักเกิดในตลาดสด

เรื่องย่อ จบบริบูรณ์ "รักเกิดในตลาดสด"


 “รักเกิดในตลาดสด”
       
       บทประพันธ์ : นราวดี
       บทโทรทัศน์ : สนุกคิด-สนิทเขียน
       กำกับการแสดง : พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
       แนวละคร : โรแมนติก คอมเมดี้
       ผลิต : บริษัท แอ็คอาร์ต เจเนอเรชั่น จำกัด โดยผู้จัด ธัญญา วชิรบรรจง
       ออกอากาศ : ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ หลังข่าวภาคค่ำ 20.30 น. ทางช่อง 3 (ต่อจาก ธรณีนี่นี้ใครครอง)
       ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม -
       
       “เมื่อความรักเริ่มต้นที่ตลาดสด....
       ความรักในที่อื่นๆจึงเบ่งบานงดงามตามมา...”
       
       ตลาด...เคยเป็นสังคมสงบสุขเล็กๆ ถึงผู้คนจะพลุกพล่านแต่ก็อบอุ่นจนถึงวันนี้ด้วยพิษเศรษฐกิจและการเปลี่ยนไปของสังคมเมือง ห้างสรรพสินค้าเข้ามามีบทบาทต่อคนมากขึ้น ทำให้ตลาด...ที่เคยรุ่งเรืองต้องกลับซบเซาลง แต่ผู้คนในตลาดแห่งนี้ก็ยังคงยึดอาชีพเดิมไม่เปลี่ยน แม้ยอดขายรายวันและลูกค้าประจำจะหดหายแต่เสียงหัวใจของผู้คนในที่แห่งนี้ก็ยังเต้นต่อไป
       
       ต๋อง นักศึกษาหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความฝันและจินตนาการต้องมารับหน้าที่ขายผักแทนพี่สะใภ้ที่ท้องแก่ใกล้คลอด ต๋องคิดหาวิธีเรียกลูกค้าตามประสาคนมีความคิดแหวกแปลกแนวไม่เหมือนชาวบ้าน ทั้งเล่นกีต้าร์ ร้องเพลง แหล่เรียกลูกค้า รวมไปถึงเลียนเสียงคนดังผ่านไมค์ดึงดูดลูกค้าให้มาเข้าร้าน ทำให้ตลาดที่ซบเซาดูมีสีสันมากขึ้น และด้วยความเป็นคนช่างพูดช่างคุยทำให้เป็นที่สนิทสนมของคนในตลาดได้อย่างรวดเร็ว
       
       แต่วิธีการแปลกประหลาดของต๋องไม่ได้มีไว้แค่ดึงดูดลูกค้าเท่านั้น แต่ลุกลามไปถึงขั้นจีบกิมลั้ง สาวหมวยสวยหวาน แม่ค้าร้านขายปลาฝั่งตรงข้าม จนสร้างความไม่พอใจให้กับ กิมฮวยแม่ของกิมลั้ง ทำให้มีปากเสียงกันเป็นประจำ กิมลั้งแม้จะเก็บอาการทำเป็นไม่สนใจต๋อง แต่นานไปก็มีอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้อยตามไปด้วย จนถึงขั้นพูดคุยต่อปากต่อคำกันไป จนกิมฮวยอยากจะสั่งห้ามกิมลั้งมาขายของ ติดแต่ว่าไม่มีใครมาผลัดเปลี่ยน ลำพังจะพึ่ง กิมแช ลูกสาวอีกคนที่เอาแต่กินกับนอนก็พึ่งไม่ได้
       
       ที่สำคัญกิมฮวยต้องการให้กิมลั้งได้มาพบเจอกับจาตุรงค์ ลูกชาย เต๊กไฮ้ เจ้าของร้านขายหมูที่เธอหมายมั่นที่จะปั้นคลึงให้ทั้งสองตกล่องปล่องชิ้นเป็นทองแผ่นเดียวกัน จาตุรงค์เองก็แอบชอบกิมลั้งอยู่แล้วทุกอย่างเหมือนจะลงตัวติดแต่ที่กิมลั้งไม่ถูกชะตากับจาตุรงค์เพราะแอบเห็นจาตุรงค์นัดเพื่อนเที่ยว สำมะเลเทเมาไม่ได้เอาการเอางานเหมือนกับภาพที่สร้างไว้ให้กิมฮวยได้เห็น
       
       ต๋องมุ่งหน้าตามจีบกิมลั้งโดยมี เลื่อน เด็กเข็นของในตลาดที่ชื่นชมบูชาต๋องคอยเป็นพ่อสื่อส่ง
       ของให้กิมลั้ง และยังได้กิมแชน้องสาวกิมลั้งมาช่วยเชียร์อีกแรง เหตุที่กิมแชสนับสนุนต๋อง
       เพราะเธอเองหลงกรี๊ดมาดเกาหลีของ จาตุรงค์และคิดว่าถ้ากิมลั้งลงเอยกับต๋อง จาตุรงค์ก็คงอกหักแล้วมาซับน้ำตากับอกหนาๆของเธอ แต่ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะติดที่กิมฮวยคอยส่งส่วยเปิดทางรักให้จาตุรงค์ได้ไปไหนมาไหนกับกิมลั้งบ่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องเด็ดขาดยากที่จะทัดทาน แต่คนจะรักกันกำแพงขวางกั้นก็พังได้ ต๋องเองก็ขึ้นชื่อเรื่องจอมวางแผนแอบแยกจาตุรงค์กับกิมลั้งแบบหักครึ่งทาง ทำให้เขากับกิมลั้งได้มีเวลาศึกษาดูใจกันมากขึ้น ต๋องได้คุยฟุ้งโครงการตลาดในฝันให้กิมลั้งฟัง ว่าถ้าทุกคนในตลาดร่วมมือกันทำคอนเซพท์ตลาดในฝันทั้งตบแต่งแผงให้มีสีสันเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งการแต่งตัวของพ่อค้า แม่ค้า มีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม รวมถึงการละเล่นดึงดูด มีกิจกรรมทุกวันหยุด รับรองว่าคนต้องมาตลาดมากขึ้นและรายได้ที่หดหายก็จะกลับมาเป็นกอบเป็นกำ กิมลั้งดูตื่นเต้นกับไอเดียของต๋องและพร้อมที่จะร่วมมือผลักดันให้ตลาดในฝันเป็นความจริง
       
       และคนแรกที่ต๋องได้เสนอไอเดียนี้ก็คือ คุณนายสดศรี คุณนายเจ้าของตลาดจอมงกซึ่งก็ได้รับคำด่ากลับมาเป็นรางวัล แต่ต๋องไม่ยอมแพ้ทำใบปลิวแจกพร้อมกับภาพกราฟฟิคจากคอมพิวเตอร์ให้คนในตลาดได้เห็น แต่กลับกลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเสียเวลาทำมาหากินของทุกคน ทำให้ต๋องต้องหาวิธีเกลี่ยกล่อมวิธีใหม่ให้ทุกคนคล้อยตามให้ได้ กิมลั้งเห็นใจต๋องจึงมาช่วยสนับสนุนอย่างออกหน้า ทำให้จาตุรงค์ไม่พอใจ พาพวกมาหาเรื่องต๋องจนมีเรื่องชกต่อยกัน
       
       กิมฮวยรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุมด่าต๋องที่ทำร้ายว่าที่ลูกเขยสุดที่รัก ทั้งที่ต๋องพยายามอธิบายว่าเขาไม่ได้เป็นคนหาเรื่องแต่กิมฮวยก็ไม่ฟัง ปรามาสต๋องว่าเป็นพวกนักเลงหัวไม้ดีแต่เพ้อเจ้ออย่างทำเจ๋อมาเสนอตัวกับลูกสาวเธอเลย ต๋องเลือดขึ้นหน้าจึงประกาศท้ากิมฮวยว่าถ้าเขาทำให้ตลาดนี้กลับมาคึกคัก ขายดีและโด่งดังอีกครั้งจะยอมให้เขาคบหากับกิมลั้งมั้ย กิมฮวยรับปากอย่างไม่ต้องคิดเพราะมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์ว่าคนอย่างต๋องไม่มีทางทำได้แน่ๆ พร้อมทั้งต่อรองว่าถ้าทำไม่สำเร็จต๋องต้องเลิกยุ่งกับกิมลั้งและหายหน้ากลับถิ่นฐานไปไม่ต้องอยู่ให้รำคาญตาด้วย
       
       ต๋องเริ่มหาวิธีใหม่เดินสายคลุกวงในไปทีละแผงทั้ง ป้าพิณ ร้านข้าวแกง ที่ไม่เคยยุ่งสุงสิงกับใครนอกจาก เขียวหวาน ลูกจ้างชาวพม่าที่เป็นเหมือนญาต/ิคนเดียว คำมูล พ่อค้าส้มตำชาวอีสานผู้ต้องการสละโสด ชมพู่เจ้าของร้านเสริมสวยผู้คลั่งไคล้ในชายหนุ่ม แม่ค้าแผงต่าง ๆ รวมถึง ลุงชวนชม เจ้าของโรงหนังที่เป็นที่หวาดกลัวของคนในตลาด เพราะต๋องมองว่าโรงหนังคือจุดบันเทิงแรกที่เขาจะใช้ในการเอาชนะใจคนอื่นๆ แต่เหนือกว่านั้นเขาต้องเอาชนะใจลุงชวนชมก่อน แนวร่วมที่เห็นด้วยกับต๋องนอกจากเลื่อนและกิมลั้ง กิมแชแล้วก็ยังมี คิตตี้หรือสมคิด กระเทยร้านดอกไม้ที่แอบรักต๋องแบบทุ่มเทแน่แท้แต่ไม่กล้าแสดงออก
       
       เมื่อเดินหน้าสัมผัสความจริงลึกรายละเอียดของแต่ละคนทำให้เห็นว่าสิ่งที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครสนใจความคิดของต๋อง แม้กระทั่ง ประชา พี่ชายแท้ๆของต๋องก็ด่าว่าต๋องจนหมดความมั่นใจ ยิ่งแผงหมูของพ่อจาตุรงค์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ใครจะเข้าร่วมอุดมการณ์กับศัตรูหัวใจของลูกชายเขา ร้านของกิมฮวยก็คงยากเย็นด้วยเหตุผลเดียวกัน คิตตี้จึงเสนอความคิดว่าคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนในตลาดอีกคนที่มีน้ำหนักในการพูดก็คือ จะเด็ด เจ้าของร่างทรงเจ้าพ่อสิงโตทองที่ทุกคนในตลาดศรัทธานับถือ แม้จะเป็นหนทางที่เป็นไปได้แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างใจเพราะจะเด็ดเกลียดต๋องเข้าไส้เพราะต๋องเคยทำทะลึ่งไปจับผิดเจ้าพ่อร่างทรง ทำให้ทุกอย่างดูจะมืดมนไปเสียหมด
       แต่ด้วยกำลังใจจากกิมลั้ง ทำให้ต๋องค่อยๆเข้าไปทำความรู้จักพูดคุยกับคนในตลาดมากขึ้นจนทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตของแต่ละคน และเห็นปมปัญหาที่แตกต่างของผู้คนในตลาด ต๋องเริ่มจริงจังและมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของแต่ละคน จนเป็นความผูกพันและเข้าใจชีวิตมากขึ้น ต๋องทุ่มเทที่จะสานต่อโครงการให้สำเร็จเพื่อช่วยเหลือทุกคน ถึงขนาดรับข้อเสนอยอมเป็นคู่เดทของ ณดา ลูกสาวเจ้าของตลาดที่แอบชอบเขาอยู่เพื่อให้ช่วยเกลี่ยกล่อมคุณนายให้ออกกฎสั่งบังคับให้ทุกคนทำตาม จนกิมลั้งหึงและเลิกพูดกับต๋องไปพักใหญ่ และการช่วยไขปัญหาบวกคำปรึกษาต่างๆของต๋องทำให้ได้ใจใครหลายคนในตลาดจนลองเชื่อใจทำตามต๋องดูสักครั้ง
       
       เมื่อจาตุรงค์เห็นว่าต๋องเริ่มที่จะเดินหน้าโครงการตลาดในฝันและเป็นไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะงานเลี้ยงฉลองตลาดที่ต๋องเป็นโต้โผได้รับความร่วมมือจากผู้คนร้านต่างๆ มีฉายหนังฟรี มีออกร้าน มีการแสดง และสามารถดึงคนมาเที่ยวตลาดได้มาก จึงพาพรรคพวกมาก่อเรื่องทำให้งานของต๋องพังยับ และรุนแรงถึงกับสร้างสถานการณ์ให้ไฟไหม้โรงหนังเพื่อโยนให้เป็นความสะเพร่าของต๋อง ต๋องเสียใจ ท้อใจจนหมดกำลังใจหนีหายกลับบ้าน
       
       กิมลั้งกับเลื่อนจึงแอบไปตามหาต๋องถึงบ้านที่อัมพวา จนได้รู้ว่าต๋องเป็นที่ตราหน้าของคนมากมายว่าเป็นคนไม่ได้เรื่อง ทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่าง และยังเป็นตัวซวยของตำบล กิมลั้งยิ่งเห็นใจต๋องมากขึ้น และสัญญาว่าจะช่วยทำให้โครงการของต๋องสำเร็จให้ได้เพื่อที่ต๋องจะได้ลบปมของตนเองสักที
       
       การไปค้างที่บ้านต่างจังหวัดของกิมลั้งทำให้กิมฮวยกับจาตุรงค์ไม่พอใจอย่างมากถึงขนาดจะให้เต๊กไฮ้มาขอหมั้นตีตราจองกิมลั้งไว้ หลายคนในตลาดที่ต๋องเคยช่วยเหลือไว้จึงสงสารและเห็นใจอยากจะตอบแทนต๋องด้วยการรวมตัวกันรณรงค์โครงการตลาดในฝันของต๋องให้สำเร็จเพื่อจะต่อรองร้องเรียกข้อสัญญากับกิมฮวย ซึ่งครั้งนี้จะเด็ดได้มาร่วมด้วยซึ่งก็เหมือนมีคำพูดประกาศิตจากร่างทรงที่คนในตลาดไม่กล้าปฏิเสธ จึงเฮโลร่วมด้วยช่วยกันลงชื่อเปลี่ยนแปลงตลาด จนเกือบจะสำเร็จ แต่แล้วข่าวการซื้อที่ดินตลาดไปสร้างห้างสรรพสินค้าก็เข้ามาดับฝันกะทันหัน คุณนายสดศรีถูกกดดันด้วยเงินก้อนใหญ่และเงื่อนไขบังคับให้ขายที่ ชาวตลาดทุกคนจึงตกอยู่ในสถานะเดียวกันทั้งหมดแม้แต่กิมฮวยและเต็กไฮ้ก็ไม่เว้น
       
       กิมลั้งช่วยเกลี้ยกล่อมคนในตลาดให้เห็นว่าความคิดของต๋องจะช่วยให้ตลาดรุ่งเรืองและมีคนมาซื้อของมากขึ้น และเมื่อตัวต๋องท้อแท้และคิดจะเลิกกลางคันกิมลั้งก็มีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ต๋องลุกขึ้นสู้อีกครั้งและพร้อมที่จะก้าวเดินไปกับต๋องจนประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับของกิมฮวยและคนในตลาด
        
       จบบริบูรณ์
       
       แนะนำตัวละคร 
       
       1.ต๋อง 
       หนุ่มหล่อผู้เต็มไปด้วยจินตนาการ รักศิลปะ เสียงดนตรี ชอบทำอะไรแหวกแนวไม่เหมือนใคร ด้วยความที่เป็นคนคิดเยอะ คิดแยะ จนกลายเป็นคิดฟุ้ง ในหัวของต๋องเต็มไปด้วยไอเดียแปลกใหม่ แต่ทำไม่ค่อยสำเร็จ เพราะความที่พูดเยอะ พูดแยะจนกลายเป็นพูดมาก ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ บวกกับต๋องเองก็มีความกลัวและประหม่าว่าจะทำออกมาได้ดังที่พูดไว้หรือไม่เพราะต๋องมีปมความกลัวที่ถูกพ่อและพี่ชายเย้ยหยันตลอดและมองเขาว่าเป็นตัวซวยประจำบ้านแต่ถ้ามองตามจริงแล้วความคิดของต๋องเป็นความคิดที่ก้าวไกลและทันสมัยต๋องเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตลาดที่กำลังซบเซาให้เป็นตลาดในฝัน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของคนทั้งตลาด แต่ด้วยความที่ต๋องเหมือนคนเพ้อเจ้อ จึงทำให้คนในตลาดไม่เชื่อถือในคำพูดต๋องจึงต้องเดินหน้าพิสูจน์ให้ทุกคนในตลาดเชื่อและคล้อยตามว่าสิ่งที่เค้าคิดเป็นไปได้จริงไม่เพียงแค่นั้นต๋องต้องต่อสู้กับความกลัวของตัวเองว่าเขาก็มีความสามารถไม่ใช่แค่คนที่ทำอะไรไม่เคยสำเร็จซักอย่าง เหมือนที่ใครๆคิด และที่สุดไปกว่านั้นคือ พิสูจน์ให้กิมฮวยแม่ของกิมลั้ง
       สาวที่ตนหลงรักเห็นว่าตนเองมีคุณสมบัติมากพอที่จะรักกับลูกสาวเธอได้
       
       2.กิมลั้ง 
       สาวหมวย สวย น่ารัก เป็นคนคิดละเอียด ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆแต่ด้วยความที่เป็นลูกสาว
       ในครอบครัวคนจีน จึงถูกล้อมกรอบอิสรภาพให้ทำตามคำสั่งอย่างเดียว กิมลั้งมักจะชอบคิดฝัน อยากเดินทางท่องเที่ยวและทำอะไรนอกกรอบของทางบ้าน แต่ก็เป็นไปได้แค่ฝัน เพราะวันๆก็อยู่แต่ที่
       บ้านกับตลาด กิมลั้งเรียนจบแค่ม.6ก็ถูกสั่งให้เลิกเรียนเพราะที่บ้านมีความคิดว่าลูกผู้หญิงไม่ต้องเรียนมากก็ได้ หาสามีรวยๆมีหน้าตาในสังคมก็พอแล้ว กิมลั้งมักจะใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปนิ้วตัวเอง
       (ที่ใช้ปากกาขีดเขียนเป็นหน้าตาแทนตัวละครชายหญิงคู่รัก)กับสถานที่ต่างๆที่ได้ไปเพื่อแทนตัวเองที่ได้ท่องโลกต๋องเป็นคนที่จุดประกายให้ชีวิตที่น่าเบื่อของกิมลั้งมีความหวังที่จะได้ทำสิ่งแปลกใหม่และได้ใช้ความสามารถที่เธอมีอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นผลทำให้กิมฮวยแม่ของกิมลั้งไม่พอใจและพาลที่จะรังเกียจต๋องไปด้วย
       
       3.กิมฮวย
       แม่จอมบงการของกิมลั้ง เจ้าของร้านขายของทะเลในตลาด เป็นคนเสียงดัง ไม่ฟังใคร ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แม้กระทั่งลูกค้าเธอก็ยังด่าเปิง ด้วยความที่ต่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่ยังสาว ทำให้กิมฮวยไม่กลัวใคร แม้กระทั่งสามีที่มีความคิดแบบจีนแท้ยังต้องยอมสยบให้กิมฮวย
       กิมฮวยรังเกียจต๋องที่เป็นคนไทยแถมยังกวนประสาท ชอบพูดจาตลก สนุกสนานไปวันๆ ที่สำคัญจนแต่ยังอาจหาญมาจีบกิมลั้งทำให้กิมฮวยคอยด่าว่าและกันท่าต๋องไม่ให้มายุ่งกับลูกสาวจนกลายเป็นคู่ปรับคนสำคัญของต๋องที่มักจะปะทะคารมกับบ่อยๆ
       กิมฮวยหมายหมั้นที่จะให้กิมลั้งแต่งงานกับจาตุรงค์ลูกชายเจ้าของเขียงหมูในตลาดที่มีเงินและมีการศึกษาดีแม้กิมลั้งจะไม่สนใจจาตุรงค์เลยสักนิดแต่เธอก็คิดว่าเดี๋ยวอยู่กันก็รักกันไปเองเหมือนเธอกับพ่อของกิมลั้งกิมฮวยเป็นคนแรกที่ปฏิเสธโครงการตลาดในฝันของต๋องโดยมองว่าเป็นเรื่องตลกของต๋องที่คิดเพ้อเจ้อขึ้นมาแถมยังท้าทายว่าถ้าต๋องทำให้ตลาดมีคนมาซื้อของได้เยอะเหมือนเดิมก็จะยอมให้ต๋องคบกับกิมลั้ง ซึ่งเธอมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์ว่าไม่มีทางเป็นไปได้กิมฮวยค่อนข้างจะเข้มงวด กวดขัน บังคับ ดุดัน ลูกสาวทั้งสองของตนจนเกินกว่าเหตุส่วนหนึ่งมาจากความผิดหวังที่ตัวเองไม่มีโอกาสมีลูกชายตามความเชื่อของคนจีนจนโดนญาติพี่น้องหมางเมินและความที่ชีวิตต้องปากกัดตีนถีบเพื่อช่วยเหลือตัวเองมาตลอดในฐานะที่เกิดมาเป็นลูกผู้หญิงของครอบครัวจีนจึงทำให้กิมฮวยกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่แทนที่ประสบการณ์ของตนจะทำให้เข้าใจลูกสาวมากขึ้น
       แต่กิมฮวยกลับเป็นต้นเหตุทำให้ลูกๆเครียด
       
       4.เคี้ยง
       พ่อกิมลั้ง สามีกิมฮวยที่ดูเหมือนจะมีบทบาทราวกับเป็นภรรยาซะมากกว่า ด้วยความที่
       กิมฮวยเป็นหญิงเก่งต่อสู้ตัวเองมาตั้งแต่เด็กจึงมีความเป็นผู้นำสูง เคี้ยงจึงต้องยอมถอยมาเป็นช้างเท้าหลัง ยอมเชื่อฟังและทำตาม กิมฮวยว่าไงก็ว่างั้นเคี้ยงจะดูล่กๆลนๆพูดจาไม่ชัดถอยชัดคำเพราะไม่มั่นใจในตัวเองถึงจะเป็นผู้ชายแต่เคี้ยงก็เข้าใจดีว่ากิมลั้งและกิมแชรู้สึกและต้องการอะไรปกติเคี้ยงเป็นคนมีอารมณ์ขันจึงเป็นที่พักพิงทางใจของลูกได้ แม้สุดท้ายจะช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะกิมฮวยก็ยังทำตัวใหญ่ที่สุด
       ในบ้านอยู่ดี
       
       5.กิมแช 
       น้องสาวกิมลั้ง สาวตุ้ยนุ้ย ที่รักการกินและร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจพรสวรรค์ด้านการทำอาหารทำให้น้ำหนักของเธอพุ่งขึ้นพรวดๆ สวนทางกับความมั่นใจในการเป็นนักร้องที่ลดน้อยถอยลงตามน้ำหนักตัว ทำให้กิมแชกลายเป็นคนประหม่า ขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะย้ำคิดตลอด เวลาว่าอ้วนไม่สวยเหมือนกิมลั้งพี่สาว กิมแชแอบน้อยใจกิมลั้งที่มีหนุ่มๆมารุมชอบมากมาย โดยเฉพาะจาตุรงค์ที่ตนเองแอบกรี๊ดอยู่ ถึงขนาดลงทุนลดความอ้วนเพื่อหวังแข่งกับพี่สาวแต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จจาตุรงค์เองก็พอดูอาการของกิมแชออกจึงมักมาทำตีสนิทหว่านเสน่ห์เพื่อใช้กิมแชเป็นแม่สื่อ แต่เมื่อกิมลั้งไปชอบกับต๋องแน่แท้แล้วกิมแชก็หมดประโยชน์ จาตุรงค์เลยไสหัวส่งแถมยังย้ำปมเรื่องอ้วนทำให้กิมแชผิดหวังรุนแรง แต่ก็ได้ต๋องมาพูดปลอบใจทำให้กิมแชมั่นใจในความอ้วนของตัวเองจนกล้าไปประกวดร้องเพลงแบบอ้วนๆ ความมั่นใจทำให้กิมแชสวยขึ้น มีเสน่ห์มากขึ้นจนจาตุรงค์เริ่มหันกลับมาหวั่นไหวกับกิมแชแบบไม่รู้ตัว
       
       5.จาตุรงค์ 
       หนุ่มตี๋ ลูกชายเจ้าของเขียงหมูร้านใหญ่ที่สุดในตลาดด้วยความที่หน้าเกาหลีอินเทรนด์ฐานะร่ำรวย
       บวกกับการศึกษาดี จึงทำให้เป็นที่หมายปองของสาวๆ แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่เปลือกนอกด้วยความที่
       จาตุรงค์มีทุกอย่างจึงทำให้เขาหลงตัวเอง เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ แถมยังรังเกียจอาชีพ
       ขายหมูที่เลี้ยงดูเขามาจนโต ไม่ยอมแม้จะบอกเพื่อนๆว่าที่บ้านเขาทำอาชีพอะไรชื่อจาตุรงค์ก็เป็น
       ชื่อที่เปลี่ยนใหม่เพราะรับกับชื่อจีนว่า ”ใจอัง” ที่พ่อตั้งให้ไม่ได้ ขนาดตลาดยังไม่อยาก
       จะออกมาเดินให้เปรอะเปื้อนขากางเกง แต่เพราะความที่หวังจะเป็นเจ้าของและครอบครองหัวใจกิมลั้งทำให้เขาต้องสร้างภาพทำเป็นขยันขันแข็งเพื่อเอาใจกิมฮวย จาตุรงค์ไม่พอใจต๋องอยากมากที่มาจีบกิมลั้งแข่งกับเค้าแถมกิมลั้งก็ยังมีท่าทีพอใจต๋องอีกด้วย จึงต้องใช้ตัวช่วยอย่างกิมแชน้องสาวกิมลั้งเป็นเสียงสนับสนุนเพราะรู้ว่ากิมแชก็แอบหลงเสน่ห์ตนเองอยู่ ทั้งที่ตัวเขาเองก็แอบนินทาเรื่องความอ้วนของกิมแชบ่อยๆ จาตุรงค์มักจะถูกเพื่อนๆหลอกให้เป็นเจ้ามือพากินพาเที่ยวบ่อยๆเพียงแค่ป้อล้อเยินยอจาตุรงค์ก็พร้อมจะควักจ่าย และยังคุยโวกับเพื่อนว่าคนอย่างเค้าทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบมีแฟนก็ต้องสวยที่สุด จนสุดท้ายก็เกิดหวั่นไหวไปกับกิมแชเวอร์ชั่นมั่นใจเต็มร้อย แต่ก็ยังไม่กล้าแสดงให้ใครรู้เพราะกลัวเสียหน้า
       
       6.เต๊กไฮ้
       พ่อจาตุรงค์ฉายาราชาเขียงหมู เพราะชำนาญเรื่องเกี่ยวกับหมูทุกด้าน เป็นคนโวยวาย และพูดซ้ำเรื่องเดิมตลอดเวลาคล้ายคนความจำสั้น พูดเรื่องหมูตลอดเวลาเพราะเป็นความภูมิใจเดียวที่เขารู้มากกว่าคนอื่น เต๊กไฮ้กลุ้มใจที่ลูกชายไม่ยอมสืบทอดเขียงหมูแถมยังรังเกียจงานที่ตนเองรักที่สุดอีก แต่ก็ยอมเพราะเป็นลูกชายคนเดียวที่หมอดูบอกว่าเง็กเซียนประทานมาจากสวรรค์จึงตามใจจาตุรงค์ทุกอย่าง
       เต๊กไฮ้ญาติดีกับกิมฮวยหวังจะดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน ยิ่งรู้ว่าจาตุรงค์ชอบกิมลั้งก็ยิ่งสนับสนุน ทั้งสองบ้านมันจะนัดกินข้าวและมีกิจกรรมเพื่อให้ทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันตลอด จึงไม่แปลกที่เต๊กไฮ้จะคอยกันต๋องและอคติกับทุกอย่างที่ต๋องทำเพราะถือว่าเป็นศัตรูหัวใจของลูกชาย จึงเป็นด่านหินอีกด่านของต๋องสำหรับโครงการตลาดในฝัน
       
       7.ลักษณ์
       แม่จาตุรงค์ เมียคนไทยของเต๊กไฮ้ ค่อนข้างจะอึดอัดเมื่อต้องต้องมาเป็นสะใภ้ของครอบครัวจีน แต่ก็อยู่กินกับสามีค่อนข้างเผด็จการอย่างเต็กไฮ้มาได้จนลูกชายโตเป็นหนุ่ม ลักษณ์พยายามจะไม่ตามใจจาตุรงค์ สอนให้ลูกชาย รู้จักประหยัด เห็นค่าของเงิน แล้วก็หัดทำตัวเป็นที่พึงพาของครอบครัว แต่สุดท้ายจาตุรงค์ก็เสียคนเพราะถูกเต๊กไฮ้ตามใจ
       
       8.คุณนายสดศรี
       สาวใหญ่คุณนายเจ้าของตลาดกับทรงผมยกกระบังสูง แต่งตัวพอกหน้าหนาราวกับเจ้เล้งดอนเมือง มีความสุขกับการแต่งหน้าเดินเก็บค่าเช่าในตลาดให้คนชื่นชม แต่คารมทั้งหลายก็ไม่สามารถยืดอายุให้ค่าเช่าที่ต้องจ่ายทั้งเหมารายเดือนและรายวัน เพราะความเค็มระดับทะเลนับญาตินี่เองทำให้ฉายาเจ๊เกี้ยมบ๊วยของคุณนายจึงเป็นที่นินทากันไปทั่ว สดศรีไม่เคยสนว่าใครจะด่าว่านินทายังไง ตาบใดที่คำเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ตัวเลขในบัญชีธนาคารเธอลดลง แม้ตลาดจะมีปัญหาน้ำไม่ไหล ไฟไม่ติด ก็ไม่คิดจะแก้ไขเพราะรู้ว่ายังไงเดี๋ยวคนในตลาดก็ต้องดิ้นรนจัดการกันจนได้เพื่อความอยู่รอด สดศรีเดินเก็บค่าเช่าเป็นกิจวัตรมาตลอดเวลายี่สิบกว่าปีจนกลายเป็นความผูกพันโดยไม่รู้ตัว
       
       9.ณดา
       ลูกสาวเจ้าของตลาด สาวสวยหวานพยายามเป็นสาวเปรี้ยวแต่เชย รสนิยมหรูติดแบรนด์เนมแต่เลือกเสื้อผ้าไม่เคยเข้ากัน มักจะถูกแม่ค้าในตลาดที่อิจฉาในความรวยของเธอ กระแหนะกระแหนค่อนขอดตลอดเวลาแต่ก็ไม่เคยรู้ เป็นคนมองโลกในแง่ดี ชีวิตอยู่ติดกับแม่จนดูเหมือนซ้ำซาก ต๋องคือความแปลกใหม่สำหรับเธอ เธอจึงแอบชอบต๋องแบบหมดใจ ไม่ว่าต๋องจะพูดอะไร ทำอะไรก็เป็นเรื่องตื่นเต้นอยู่เสมอ เธอยื่นข้อเสนอให้ต๋องเป็นแฟนแล้วจะช่วยเกลี้ยกล่อมแม่ให้ช่วยสนับสนุนโครงการในฝัน เมื่อต๋องจวนตัวก็จำต้องใช้วิชามารยอมเป็นแฟนกับณดา สร้างความผิดหวังรุนแรงให้กับกิมลั้ง
       
       10.ประชา
       พี่ชายต๋อง ทำอาชีพช่างเชื่อมโลหะ เป็นคนค่อนข้างเก็บกด ด้วยความที่ตนเองหัวไม่ค่อยดี จึงต้องขยันและทำงานหนักมาก ประชาก็รู้ว่าตนเองเป็นคนหัวช้าต่างจากต๋องที่ฉลาดและพูดเก่งจึงเป็นที่รักของผู้พบเห็นประชาอิจฉาต๋องจึงคอยด่าว่าต๋องให้กลายเป็นคนขาดความมั่นใจตั้งแต่เด็ก ประชามีเมียชื่อติ๋ม ตั้งแผงขายผักอยู่ในตลาด ติ๋มเป็นคนสวยแต่ดุและมักจะด่าว่าประชาบ่อยๆ ทำให้ประชาเก็บกดมาระบายกับต๋อง ยิ่งรู้ว่าต๋องไปปลุกระดมคนในตลาดให้ช่วยกันทำตลาดในฝัน ก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาจึงด่าว่าต๋องจนท้อใจเกือบเลิกแผนการไป โชคดีที่พี่สะใภ้เห็นด้วยจึงช่วยปราม
       ประชาไม่ให้ด่าว่าต๋องมากนัก
       
       11.ติ๋ม
       พี่สะใภ้ต๋อง เป็นเจ้าของแผงผัก ขยันทำมาหากิน ที่ให้ต๋องมาช่วยขายเนื่องจากตนเองแพ้ท้อง ติ๋มเป็นคนสวย แต่ปากจัดยิ่งกำลังแพ้ท้องยิ่งเจ้าอารมณ์ ทะเลาะกับลูกค้าบ่อยๆทำให้ต๋องต้องมาช่วยขายแทน ติ๋มกำลังกลุ้มใจเรื่องของขายไม่ดีและรู้สึกว่าถ้ามีใครมาทำให้ตลาดกลับมาขายดีอีกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามเธอก็พร้อมจะร่วมมือ เพื่อที่มีรายได้มาเลี้ยงลูก จึงคอยช่วยว่าประชาไม่ให้ยุ่งกับต๋อง แถมยังคอยแบกท้องเป็นแนวหน้าปะทะคารมกับคนที่มา ดูถูกต๋องอยู่บ่อยๆ ยิ่งทำให้ประชาอิจฉาต๋องมากขึ้น
       
       12.จะเด็ด
       เจ้าของร้านขายของชำแสนรกรุงรังที่ควบอาชีพคนทรง จะเด็ดเป็นที่พึ่งทางใจของคนในตลาด เนื่องจากมีร่างทรงของเจ้าพ่อสิงโตทอง และมักจะทำนายทายทักสะเดาเคราะห์ ทำนายอนาคตและดูฤกษ์ยามให้คนในตลาดทำให้สำนักของอาจารย์จะเด็ดเป็นเหมือนโรงพยาบาลใจของชาวชุมชนและคนในตลาด ปกติจะเด็ดจะดูมึนๆงงๆโก๊ะๆกังๆแต่ถ้าประทับร่างทรงเมื่อไหร่จะดูมีอำนาจผิดเป็นคนละคน
       อาจารย์จะเด็ดเป็นอีกคนที่ไม่ชอบต๋องเนื่องจากต๋องชอบมาจับผิดและพูดจาลองดูกับเขาอยู่ตลอดหนักข้อก็พยายามเผยเบื้องหลังว่าเขาเป็นเพียงร่างทรงจอมปลอมที่หลอกลวงชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆแต่ในความหลอกลวงก็ช่วยเยียวยาและสร้างขวัญและกำลังใจเป็นเหมือนที่พึ่งเดียวของชาวตลาด เพียงอาจารย์คงพูดคำเดียวทุกคนก็พร้อมจะเชื่อถือ สุดท้ายแล้วเมื่อต๋องเอาชนะใจอาจารย์คงได้จากการตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงตลาดให้ดีขึ้น อาจารย์คงก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความฝันของต๋องเป็นจริง
       
       12.ป้าพิณ 
       แม่ค้าข้าวแกงซุ้มเสบียงของคนในตลาด เพราะทุกแผงแทบจะฝากท้องไปกับป้าพิณ เป็นคนจู้จี้เจ้าระเบียบ และขี้บ่น เจ้าของสโลแกนทำไปด่าไป เพราะเชื่อมั่นในฝีมือของตนเองที่สืบทอดฝีมือทำกับข้าวมาเป็นรุ่นที่สี่ มีอาหารขึ้นชื่อของร้านที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ ทำให้ป้าพิณไม่ค่อยง้อลูกค้า และไม่เปิดเผยสูตรอาหารให้ใคร แม้แต่เขียวหวานลูกจ้างที่อยู่กับเธอมาเกือบสิบปีจะขอมาช่วยทำกับข้าว เธอก็ไม่ยอม เรียกว่าครัวข้าใครอยากแตะ ป้าพิณเป็นคนทิฐิไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆวันๆจะง่วนอยู่กับการทำกับข้าวไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง ตลาดจะเปลี่ยนไปยังไง ป้าพิณก็ไม่สนตราบใดที่รสชาติอาหารยังถูกปากคนกิน เธอก็ไม่รู้สึกว่าอะไรจะเป็นปัญหาป้าพิณเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพจนคนในตลาดห่วงว่าจะทำกับข้าวไม่ไหวจึงบอกให้ป้าพิณหาตัวตายตัวแทน แต่ป้าก็ไม่สนบอกสูตรนี้จะไม่ยอมให้ใคร จะปล่อยให้ตายไปพร้อมเธอ ป้าพิณเป็นอีกด่านสำคัญที่ต๋องจะต้องจัดการเปลี่ยนความคิดให้ได้เพื่อให้โครงการในฝันเป็นจริง
       
       13.เขียวหวาน
       ลูกจ้างร้านข้าวแกงป้าพิณ เป็นสาวพม่าจอมอึด ขยันทำงานแต่ทำอะไรช้าจึงมักถูกป้าพิณบ่นกร่นด่าอยู่ตลอด แต่เขียวหวานก็อดทนและซื่อสัตย์เพราะป้าพิณเหมือนเป็นแม่เป็นญาติคนเดียวของเธอ เขียวหวานสนใจเรื่องทำกับข้าว เมื่อเห็นป้าพิณเริ่มทำไม่ไหวจึงมักขออาสาเข้าไปช่วยเป็นลูกมือป้า แต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะป้าพิณหวงสูตรมากไม่ยอมเผยแพร่ให้ใคร เขียวหวานทำงานแบบไม่เคยมีวันหยุด สิ่งเดียวที่เธอจะผ่อนคลายก็คือไปยืนฟังร้านต่างๆ เม้าท์เรื่องละคร เรื่องชาวบ้าน และไปเล่าให้ป้าพิณฟัง ป้าก็ฟังไปด่าไปตามระเบียบ แต่ก็ยังชอบฟัง เขียวหวานไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเช่นเดียวกับป้าพิณที่เหลือตัวคนเดียว ทั้งสองคนผูกพัน ต่างคนต่างดูแลกัน บางครั้งป้าพิณก็สงสารเขียวหวานที่ทนอยู่กับเธอมานาน แต่ป้าก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่เขียวหวานตามประสาคนใกล้ชิด วันนี้พูดเอ็นดูเขียวหวานเหมือนลูกแต่ก็กลับมาด่ากันต่อตอนเช้า คนในตลาดก็หวังว่าถ้าป้าเป็นอะไรไป เขียวหวานจะเป็นคนเดียวที่จะได้รับถ่ายทอดสุดยอดสูตรอาหารเพื่อสานต่อรสชาติดั่งเดิมให้ได้กินกันต่อไป แต่เขียวหวานก็ไม่ได้หวังเพราะเชื่อว่าป้าพิณคงปล่อยให้สูตรลับที่หวงแหนตายไปกับเธอแน่ๆ
       
       14.คำมูล
       หนุ่มอีสานที่มักจะเข็นรถขายส้มตำมาตั้งข้างๆ ร้านข้าวแกงป้าพิณเพราะหลงรักเขียวหวาน ด้วยความที่หวังจีบสาวทำให้บางทีสนใจขายส้มตำตัวเองน้อยกว่าไปช่วยเสิร์ฟอาหารที่ร้านป้าพิณเสียอีก คำมูลเป็นตัวแทนของหนุ่มอีสานแสนซื่อที่เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองกรุง แต่เวลาผ่านไปความเป็นคนเมืองก็
       เข้ามาครอบงำคำมูลจนเสียความเป็นคนจริงใจใสซื่อขึ้นเรื่อยๆ คำมูลใส่เสื้อผ้าเปลี่ยนไปตามกระแส
       ทำตัวอนเทรนด์ พยายามจะหัดพูดไทยคำอังกฤษคำทั้งๆที่ยังพูดกลางไม่ชัดด้วยซ้ำ ขณะที่เขียวหวาน
       กลับเป็นสาวพม่าที่ยังไม่ยอมสูญเสียรากเหง้าของตัวเอง เคยผัดแป้งพม่าที่หน้าขาววอกยังไง วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น
       
       15.คิตตี้หรือชื่อจริงว่าสมคิด
       กระเทยขายดอกไม้ สวย พริ้ง แพรวพราว แต่งตัวสีหวานเหมือนดอกไม้ที่ขาย แต่ปากร้ายจิกกัดไปทั่ว จะหวานก็ต่อเมื่อลูกค้าผู้ชายมาแวะเวียนที่ร้าน ทั้งลดทั้งแถมจนทุนหายกำไรหด แต่ก็แก้ตัวว่าคนเราหาเงินมาเพื่อซื้อความสุข และนี่คือความสุขของเธอ คิตตี้แอบชอบต๋องจนถึงขั้นคลั้งไคล้ แต่ต๋องเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอเก็บอาการไม่แสดงออก บางครั้งยังแอบพูดครับด้วยความประหม่าเพราะคิตตี้รู้ดีว่าต๋องเกลียดตุ๊ด สิ่งที่จะทำให้คิตตี้ใกล้ชิดต๋องได้ก็คือต้องทำตัวเป็นเพื่อนด้วยเนียนๆ แถมบางทีต้องทำแมนโชว์ต๋อง คิตตี้เป็นอีกคนที่ทุ่มเทให้ตลาดในฝันเป็นไปได้ และคอยช่วยเหลือเคียงข้างต๋องตลอดมาทั้งๆที่บ่อยครั้งต๋องทำท่าเหมือนไม่ค่อยชอบตุ๊ดอย่างตน
       
       16. เลื่อน
       เด็กเข็นของ จอมปากเก่งประจำตลาด ชื่นชมและศรัทธาในตัวต๋องยกให้ต๋องเป็นไอดอล
       ต๋องพูดอะไรก็ดูดีไปหมด นอกจากเข็นของแล้วยังรับจ็อบเดินโพยหวย โพยบอล
       ทำให้คนในตลาดด่าว่าบ่อยๆ ต๋องเกลี่ยกล่อมให้เลื่อนทำสิ่งที่ถูกต้องและพูดชักชวนให้มาทำตลาดในฝัน ทำให้เลื่อนหลงเพ้อ และนั่งรอคอยว่าถ้าแผนต๋องสำเร็จ ความฝันของการมีมอเตอร์ไซค์ของเค้าก็สำเร็จด้วย เลื่อนเป็นทั้งพ่อสื่อให้ต๋องในการจีบกิมลั้ง และคอยช่วยเหลือและเป็นกระบอกเสียงให้ ต๋องทุกอย่าง รวมถึงยอมเจ็บตัวแทนได้ แต่ด้วยความขี้โม้ ขี้เกียจและพฤติกรรมห่ามๆ ก็ยิ่งทำให้แผนของต๋องขาดความน่าเชื่อถือมากขึ้น ในวันที่ต๋องถอดใจกับงานตลาดในฝัน เลื่อนผิดหวังรุนแรงถึงกับฝันสลายจนสุดท้ายจะกลับไปเฝ้าบ่อน กิมลั้งก็มาพูดให้เลื่อนฮึดสู้
       และมาเป็นแขนขาให้ต๋องในการสร้างตลาดใน ฝันจนสำเร็จ
       
       17.ลุงชวนชม
       เจ้าของโรงหนังเก่าโรงเดียวในตลาด เป็นคนหน้าตาดุ พูดน้อย ไมค่อยสบตาคน ออกจากโรงหนังมาซื้อข้าวแกงแล้วก็กลับเข้าโรงหนัง ไม่ค่อยคุยกับใคร และทำตัวลึกลับจนชาวบ้านแอบไปนินทาสร้างข่าวลือต่างๆ ให้กับลุงชวนชมแรงสุดก็ถึงขนาดเคยฆ่าคนตายแล้วแอบมาซ่อนตัวเปิดโรงหนังเพื่อซ่อนตัว ทุกวันนี้ก็ยังคงเก็บตัวหนีคดี มีบางครั้งที่ลุงชวนชมอาละวาดไล่ด่าเด็กที่เข้ามาพลอดรักในโรงหนังจนเด็กวัยรุ่นโกรธแค้นไปสร้างข่าวลือตอกย้ำภาพลักษณ์ลุงชวนชมให้แย่ลงไปอีก แม้กิจการโรงหนังจะเริ่มแย่ลง คนเข้าโรงหนังน้อยลง ลุงชวนชมก็ยังคงฉายหนังไม่มีวันหยุด และมักจะใช้เวลาว่างดูหนังเรื่องเดิมๆซ้ำๆ ต๋องเองเมื่อมีเวลาว่างก็เข้าไปดูหนังบ่อยๆ และได้มีโอกาสได้คุยกับลุงชวนชม จนสัมผัสว่าลุงชวนชมเป็นคนน่าสงสารและโดดเดี่ยว มักจะดูหนังเรื่องซ้ำๆเพราะคิดถึงคนรัก ต๋องขายฝันช่วยลุงชวนชมโปรโมทหนัง โดยบอกว่าถ้าคนดูหนังเยอะ โรงหนังก็จะได้อยู่คู่ตลาดไปอีกนาน ดีกว่าจะปล่อยให้ร้างและปิดกิจการไป ผลักดันให้ลุงชวนชมได้มีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้าน มีฉายหนังฟรีในวันพิเศษ รวมถึงเป็นฉายหนังที่ชายคลองด้านหลังตลาดให้คนพายเรือมาดู และสารพัดวิธีที่จะดึงชาวบ้านมารวมตัวกัน มีกิจกรรมร่วมกันเพื่อความสามัคคีทำให้ลุงชวนชมที่อยู่อย่างเหงามานานก็เริ่มที่จะเปิดตัวและพูดคุยกับผู้คนมากขึ้น
       
       18.ชมพู่
       ทำงานอยู่ร้านเสริมสวยในตลาดซึ่งมี น้อยหน่าพี่สาวเป็นเจ้าของ ชมพู่จะแต่งตัวให้สวยอยู่ตลอด
       เวลาสมกับงานที่ทำ แต่ตัวไม่ค่อยจะอยู่ที่ร้านเพราะมัวไปเดินโปรยเสน่ห์ไปทั่วตลาด และที่ที่
       มักจะวนเวียนไปอยู่บ่อยๆก็คือแผงผักของต๋อง ชมพู่ชอบต๋องมากเพราะหน้าตาดี หน่วยก้านดีสม
       เป็นพ่อพันธุ์ ด้วยความที่ต๋องช่างพูด ท่าทางมีหลักมีการ ชมพู่ยิ่งคลั่งไคล้ราวถูกเสกคาถามหาระรวย ชมพู่มักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคิตตี้บ่อยๆเพราะคิตตี้พยายามกันชมพู่ไม่ให้เข้าใกล้ต๋อง บางครั้งก็ถึงกับลงมือลงไม้กัน ทั้งสองคนมักจะแข่งขันกันเพื่อทำตัวให้เข้าตาต๋อง ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าเริ่ด นวดตัวนวดหน้า บางทีก็บ้าถึงขั้นไปทำนม ทำจมูกมาบลัฟกัน
       
       19.ทวี 
       สาวใหญ่ชาวใต้สำเนียงทองแดง แม่ครัวบ้านคุณนายที่อยู่ไม่ไกลตลาด ขาต่อประจำตลาด
       บาทสองบาทขอให้ได้ลด ส่วนลดจากค่ากับข้าวก็มาลงเป็นค่าหวยแต่ละงวดได้เต็มที่ เป็นแม่บ้าน
       ที่บริหารการใช้เงินได้เป็นอย่างดี ตอดเล็ก ตอดน้อยค่าใช้จ่ายของนายมาเป็นค่าใช้จ่ายตัวเอง
       ได้เก่งโดยแทบจะไม่ต้องเบียดเสียดเงินเดือนตัวเอง ทำให้มีเงินเก็บมากมายแต่สุดท้ายก็หายไปกับการเล่นหวย แม่ทวีสนิทกับทุกคนในตลาด ชอบซักไซ้เรื่องในตลาดใครเป็นยังไงแผงไหนมีเรื่องอะไร แม่รู้หมด แถมเป็นคนใจดีรู้เรื่องอะไรมาก็ไม่เก็บไว้คนเดียว เที่ยวป่าวประกาศให้คนในตลาดรู้กันทั่ว ผัวเมียหลายคู่ที่เลิกกันไป เพื่อนรักหลายคนที่กลายเป็นเพื่อนชัง
       ก็เป็นผลมาจากลมปากของแม่ทวีนี่เอง
       
       20.เครือฟ้า
       สาวชาวเหนือคู่หูคู่ฮาคู่นินทาต่างวัยของแม่ทวี ลำพังบ้านอยู่ติดกันยังนินทานายกันไม่พอ ยังต้องถ่อออกมาออกมานินทาคนในตลาดที่ร้านกาแฟเป็นประจำ ด้วยความมันปากบางทียังมีเผลอนินทาเพื่อนกันเองกับคนอื่น แต่เครือฟ้าจะออกแนวตามๆแม่ทวีอยู่หน่อย เพราะแม่ทวีจะออกแนวรุก แต่เครือฟ้าจะลีลาเนิบๆตามจังหวะแบบคนชาวเหนือ เครือฟ้าพูดกลางไม่ถนัดจึงมักอู้กำเมืองอยู่เสมอ จึงทำให้แม่ทวีติดๆขัดๆนินทาไม่ไหลลื่นอยู่บ่อยครั้ง แม่ทวีพยายามสอนให้เครือฟ้าพูดกลางอยู่หลายครั้งทั้งที่ตัวเองยังพูดสำเนียงทองแดงจ๋าอยู่เลย สิ่งเดียวที่จะมาอุดปากคู่ซี้ให้หยุดนินทาได้พักใหญ่คือละครทีวี แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่วายกดมือถือออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์ตัวละครอย่างถึงพริกถึงขิง ถ้าวันไหนละครฉูดฉาด
       มากก็ถึงกับปีนรั้วมานั่งเม้าท์ติดขอบจอด้วยกันเลย ขณะที่แม่ทวีบ้าหวย เครือฟ้าก็บ้าเสริมความงาม ถ้าหาเครือฟ้าไม่เจอก็ให้ไปตามได้ที่ร้านชมพู่
       
       รายชื่อนักแสดง
       ใครเป็นใคร ในละคร “รักเกิดในตลาดสด”
       
       1.มาริโอ้ เมาเร่อ รับบท ต๋อง
       2.ราศรี บาเลนซิเอก้า รับบท กิมลั้ง
       3.จริยา แอนโฟเน่ รับบท กิมฮวย
       4.สถาพร นาควิไลโรจน์ รับบท เคี้ยง
       5.ภาวิดา มอริจจิ (ซิลวี่ เดอะสตาร์7) รับบท กิมแซ
       6.ชนัตพล ลังสิทธิเสถียร(แจ็ค ไรเดอร์) รับบท จาตุรงค์
       7.สุเทพ ประยูรพิทักษ์ รับบท เต๊กไฮ้
       8.ปวีณา ชารีฟสกุล รับบท ลักษณ์
       9.สาวิตรี สามิภักดิ์ รับบท คุณนายสดศรี
       10.วิรากานต์ เสณีตันติกุล รับบท ณดา
       11.จักรกฤษณ์ อำมรัตน์ รับบท เสี่ยชายศักดิ์
       12.อภิรดี ภวภูตานนท์ รับบท รัศมี
       13.สุริยนต์ อรุณวัฒนกุล รับบท ศักดิ์ชาย
       14.สุรพันธ์ ชาวปากน้ำ รับบท ชูชาติ(เต๋า)
       15.โชติรส แก้วพินิจ รับบท ติ๋ม
       16.โน๊ต เชิญยิ้ม รับบท จะเด็ด
       17.หนุ่ย แสนแดง รับบท รักเร่
       18.ณฉัตร จันทร์พันธ์ รับบท เลื่อน
       19.อชิตะ ธนาศาสตนันท์ รับบท ชมพู่
       20.ปาจรีย์ ณ นคร รับบท น้อยหน่า
       21.ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล(ดีเจบุ๊คโกะ) รับบท คิตตี้
       22.มยุรี อิศรเสนา ณ นคร รับบท ป้าพิณ
       23.ด.ญ.กัจนฐานียา ศรีโรจน์วัฒนะ รับบท เขียวหวาน
       24.ปวันรัตน์ นาคสุริยะ รับบท ทวี
       25.ศิรินุช เพ็ชรอุไร รับบท เครือฟ้า
       26.ต๋อง ชวนชื่น รับบท คำมูล
       27.จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม รับบท เสือ(อาบัง)

รักคุณเท่าฟ้า ตอนที่ 12 (4)


รักคุณเท่าฟ้า ตอนที่ 12 (ต่อ)
       กลางดึก ไตรตั้นนอนลืมตาแล้วก็พลิกตัวไปมา จินดาที่นอนอยู่ข้างๆ มอง
       “ตั้น นอนไม่หลับหรือลูก” จินดาถาม
       “ครับ”
       “คิดถึงแม่หรือ”
       “ครับ”
       “แม่เค้าไปเที่ยวกับเพื่อนอีกสองวันก็มาแล้ว”
       “คุณยายครับ เวลาหมอฉีดยาคุณยายเจ็บมั้ย”
       “เจ็บสิลูก”
       “แม่ก็ต้องเจ็บเหมือนกัน สงสารแม่จังเลย”
       “แม่เป็นอะไร” จินดาสงสัย
       “ไม่ได้เป็นอะไรครับ”
       “ไม่ได้เป็นอะไรแล้วฉีดยาทำไม”
       “น้าธีไม่ให้บอกคุณยายครับ”
       “ไม่ให้บอกว่าไง”
       “ไม่ให้บอกว่าแม่ไม่สบายเดี๋ยวคุณยายเป็นห่วง”
       จินดาอึ้ง
       “แล้วแม่อยู่ไหน” จินดาถามต่อ
       “อยู่โรงพยาบาล ที่เดียวกับคุณยายแหละครับ”
       จินดาใจหาย
       “ตั้นพูดจริงๆรึเปล่าลูก”
       “จริงครับ คุณยายครับตั้นคิดถึงแม่ ตั้นอยากไปนอนกับแม่”
       พูดจบไตรตั้นก็ร้องไห้ จินดาดึงตัวหลานเข้ามากอด
       “อย่าร้องลูก พรุ่งนี้ยายจะพาไปหาแม่ .. แดง นี่ลูกเป็นอะไรเนี่ย”
       จินดาพึมพัมกับตัวเองแล้วก็กอดหลานท่ามกลางความมืดมิด
     
       ธีระป้อนน้ำให้แดงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล
       “เอาอีกหน่อยมั้ยพี่แดง” ธีระถาม
       “พอแล้ว ขอบใจมากธี แล้วไตรตั้นล่ะ” แดงถามถึงลูกชาย
       “อยู่กับแม่ ไม่ต้องห่วง”
       “ธี ถ้าพี่เป็นอะไรไปฝากไตรตั้นด้วยนะ”
       “พี่แดง ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ พี่แดงต้องหายนะ”
       “พี่ชักไม่แน่ใจแล้ว” แดงบอก
       “ไม่ พี่แดงจะต้องหายเชื่อผมสิ”
       แดงมองน้องแล้วก็น้ำตาไหล กบเปิดประตูเข้ามา
       “แดง หมอบอกว่าพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว” กบชะงักเมื่อเห็นว่าแดงร้องไห้ “แดงร้องไห้ทำไม”
       “ไม่มีอะไรพี่กบ แดงแค่คิดถึงลูก”
       “พรุ่งนี้เราก็ไปรับไตรตั้นกลับบ้านได้แล้ว” กบบอก
       แดงพยักหน้า ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก แล้วไตรตั้นก็วิ่งเข้ามา
       “แม่ครับ ..”
       ธีระหันไปมองด้วยความตกใจ
       “ไตรตั้น”
       “แม่ ตั้นคิดถึงแม่” ไตรตั้นบอก
       “นี่ลูกมากับใคร”
       จินดาก้าวเข้ามาพร้อมไม้เท้าสามขาช่วยเดิน
       ธีระตกใจ “แม่...”
       แดงกับกบมองแม่ด้วยความตกใจ
       จินดาเดินก้าวเข้ามามองแดงที่อยู่ในสภาพหัวโล้น แล้วจินดาก็อึ้งน้ำตาไหลริน
       “นี่ลูกเป็นอะไร” จินดาเดินเข้ามาหาลูกสาวที่เตียง “บอกแม่ซิลูกว่าลูกเป็นอะไร” แดงร้องไห้แล้วโผเข้ากอดแม่
       “แม่”
       จินดาเขย่าตัวแดง “ลูกเป็นอะไรแดง บอกแม่ซิลูก”
       “แดงเป็นเนื้องอกในสมองครับแม่” กบบอก
       “แล้วทำไมพวกแกไม่บอกชั้น” จินดาถาม
       “ผมขอโทษครับ เราแค่ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ” ธีระบอก
       “แม่อย่าไปว่าพี่กบกับธีเลยนะ หนูเป็นคนบอกพวกเค้าเองว่าอย่าบอกแม่ หนูไม่อยากให้แม่กลุ้มใจ”
       “แต่แกเป็นลูกแม่นะ มันเป็นหน้าที่ของแม่ ที่จะต้องรู้ว่าลูกมีทุกข์ มีสุขยังไง”
       “ผมขอโทษครับแม่” กบพูด
       ธีระหน้าสลด
       “แล้วหมอว่าไง เค้าบอกจะมีทางรักษาหายใช่มั้ยลูก” จินดาถามต่อ
       “ค่ะ แต่มันต้องใช้เวลา” แดงบอก
       “ช่างมันเถอะลูก จะนานแค่ไหนก็ขอให้มันหาย ลูกต้องอดทนนะแดง แม่จะอยู่กับลูก ลูกของแม่จะต้องหาย”
       แดงน้ำตาไหลแล้วโผเข้ากอดแม่
       “ไม่ต้องห่วงครับแม่ พรุ่งนี้หมอก็ให้พี่แดงกลับบ้านแล้ว” ธีระบอก
       “ไชโย้ ตั้นดีใจจริงๆ แม่จะได้กลับบ้านแล้ว”
       ไตรตั้นกระโดดร้องด้วยความดีใจ ในขณะที่คนอื่นๆ พากันสลด
     
       จินดาแกะส้มส่งให้แดง
       “เอาอีกหน่อยมั้ยลูก”
       “ไม่แล้วค่ะแม่” แดงตอบ
     
       จินดาหยิบผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้แดง จากนั้นเธอก็ช่วยเปลี่ยนเสื้อให้ลูกสาว
     
       เวลาผ่านไป แดงนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ จินดาขยับผ้าห่มให้ เธอมองลูกสาวแล้วก็ปาดน้ำตา
       “ขอให้คุณพระคุ้มครองลูกของแม่ด้วย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดลบันดาลให้ลูกของแม่ปลอดภัย ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับลูกขอให้แม่รับเคราะห์นั้นแทนลูกด้วยเถอะ”
       จินดาก้มลงจูบหน้าผากแดง แล้วก็ยืนมองด้วยน้ำตาที่ไหลริน จินดาหันมองออกไปนอกหน้าต่างห้องก็เห็นแสงสีส้มอ่อนๆ ทอประกายเข้ามา
     
       กบยืนเหม่ออยู่ในโรงพยาบาลเพราะคิดถึงเรื่องของแดง ธีระเดินเข้ามาถาม
       “กินข้าวกันมั้ยพี่กบ”
       “ไม่ล่ะ นายไปเถอะ” กบบอก
       “แต่ผมไม่เห็นพี่กบกินอะไรเลยนะตั้งแต่เที่ยง”
       “พี่ไม่หิว” กบบอก
       “มีอะไรรึเปล่าพี่กบ”
       “ถ้าพี่เล่าอะไรให้ฟัง สัญญาว่าจะไม่บอกแดงกับแม่นะ”
       ธีระรับคำ “ครับ”
       “เมื่อกี้พี่คุยกับหมอ หมอบอกว่าอาการของแดงไม่ดีขึ้น ให้คีโมไปแล้วมันยังไม่ได้ผลที่พอใจ”
       “มันคงต้องใช้เวลามั้งพี่กบ”
       “แต่พี่กลัวจังเลย พี่กลัวว่าหมอจะรักษาแดงไม่หาย”
       “ไม่น่ะพี่กบ ผมว่าต้องหาย”
       “นายก็รู้ คนที่เป็นโรคนี้เปอร์เซ็นต์ที่หายน้อยมาก ถ้าแดงเป็นอะไรไป ... พี่ไม่รู้จะอยู่ยังไง”
       พูดจบกบก็น้ำตาไหลพราก จินดาเดินเข้ามาด้านหลังแล้วเอ่ยขึ้น
       “แดงต้องไม่เป็นอะไร”
       ธีระกับกบหันไปมองแล้วก็ชะงัก จินดาเข้ามาจับแขนกบ
       “กบ แกฟังแม่นะ เมียแกต้องหาย แกจะอ่อนแอไม่ได้นะ แกยังมีไตรตั้นที่ต้องดูแล เราทุกคนต้องเข้มแข็ง”
       “ใช่ พี่กบ เราทุกคนต้องเป็นกำลังใจให้พี่แดงนะ” ธีระบอก
       “เชื่อแม่ แดงจะต้องหาย แดงจะไม่เป็นอะไร” จินดาย้ำ
       “ขอบคุณครับแม่” กบโผเข้าไปกอดจินดา ธีระยืนมองแล้วก็น้ำตาซึม
     
       ธีระเดินถือกาแฟกับแซนวิชเข้ามานั่งที่โต๊ะในร้านอาหารภายในโรงพยาบาล เขายกกาแฟขึ้นจิบแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่แม่เข้ามาถามพี่สาวของเขาก่อนหน้านี้
       “บอกแม่ซิลูกว่าลูกเป็นอะไร”
       “แม่” แดงโผเข้ากอดแม่แล้วร้องไห้
       “ลูกเป็นอะไรบอกแม่ซิ”
     
       ธีระนึกถึงคำพูดที่แดงบอกกับเขา
       “ถ้าพี่เป็นอะไรไป ฝากไตรตั้นด้วยนะธี”
       “ทำไมพูดอย่างนี้ พี่แดงต้องหายนะ” ธีระย้ำ
       “พี่ชักไม่มั่นใจแล้ว”
     
       ธีระนึกถึงคำที่กบบอกกับเขาหลังจากนั้น
       “แต่พี่กลัวจังเลย พี่กลัวว่าหมอจะรักษาแดงไม่หาย”
       เมื่อนึกึงเหตุการณ์ต่างๆ ธีระก็อยากจะร้องไห้ เขาพยายามควบคุมตัวเองด้วยการถอนหายใจแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ
       หนูดีถือจานอาหารเดินเข้ามาในร้านแล้วก็ชะงัก เพราะเธอเห็นธีระนั่งเหม่ออยู่ลำพัง หนูดีเดินเข้าไปทัก
       “สวัสดีค่ะคุณธี”
       “อ้าว หนูดี ทานข้าวหรือ”
       “ค่ะ”
       “นั่งด้วยกันก็ได้นะ”
       “ขอบคุณค่ะ” หนูดีนั่งร่วมโต๊ะ “พาคุณป้ามาหาหมอหรือคะ”
       “เปล่าหรอก มาเยี่ยมพี่สาวน่ะ”
       “ที่เป็นเนื้องอกในสมองน่ะหรือคะ”
       ธีระพยักหน้าแล้วถาม “พอรู้มั้ยว่าโรคนี้มีโอกาสหายขาดรึเปล่า”
       “เท่าที่ฟังรุ่นพี่พยาบาลคุยกันถึงเคสพี่สาวคุณธีเค้าก็ว่ามีนะคะ”
       “โรคมะเร็งนี่ก็หายขาดได้เหมือนกันหรือ”
       “ค่ะ อย่างแม่หนูดี ก็เคยเป็นมะเร็งเต้านม ตอนนั้นหนูดียังเรียนมัธยมอยู่เลย แต่แม่ก็ยังอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้นะคะ”
       ธีระเริ่มสนใจ “หรือ แล้วคุณแม่คุณรักษาที่ไหน”
       “ก็โรงพยาบาลรัฐนี่แหละค่ะ หนูดีว่าพี่สาวคุณธีก็น่าจะหายนะคะ เดี๋ยวนี้การรักษาและการให้ยาก็ดีกว่าแต่ก่อนเยอะ ยิ่งคุณธีมีสตางค์หนูดีว่าโอกาสที่จะหายก็มีสูงนะคะ”
       “จริงหรือ”
       “ค่ะ หนูดีว่าอยู่ที่กำลังใจของคนป่วยด้วย ตอนที่แม่หนูดีรู้ว่าเป็นมะเร็ง แม่เข้มแข็งมากแม่บอกว่าแม่จะตายไม่ได้ ท่านจะต้องอยู่จนหนูดีเรียนจบแล้วได้แต่งงาน”
       “แม่คุณคงรักและเป็นห่วงคุณมาก”
       “ค่ะ เรามีกันแค่สองคน”
       “แล้วคุณพ่อล่ะ” ธีระถาม
       “พ่อเสียตั้งแต่หนูดีสามสี่ขวบแล้วค่ะ” หนูดีบอก
       ธีระพยักหน้ารับรู้ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของธีระก็ดังขึ้น “โทษนะ” ธีระพูดโทรศัพท์ “ฮัลโหล ...ได้ครับ เดี๋ยวเจอกัน ผมขอตัวก่อนนะ”
       “ค่ะ” หนูดีรับคำ ธีระลุกขึ้น หนูดีทักออกมา “เดี๋ยวค่ะคุณธี”
       “หือม์”
       “หนูดีอยากจะบอกว่าคุณป้าก็รักคุณธีไม่น้อยกว่าแม่หนูดีนะคะ”
       ธีระยิ้ม “ขอบใจ อ้อ แล้วก็ขอบใจอีกเรื่อง”
       “เรื่องอะไรคะ”
       “เรื่องของแม่คุณ ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลย” ธีระบอก
       “อ๋อ ค่ะ” หนูดีรับคำ ธีระเดินออก หนูดีมองตามแล้วก็ยิ้มออกมา
     
       จินดากำลังต้มรากบัวกระดูกหมูอยู่ในครัวที่บ้าน เธอตักน้ำซุปขึ้นมาชิมแล้วหันไปหยิบขวดน้ำตาลบนชั้น ทันใดนั้นจินดาก็หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
       “โอ๊ย”
       จินดาปล่อยขวดน้ำตาลตกลงพื้นจนแตก จังหวะเดียวกับที่ช้อย ใหญ่และภาเดินเข้ามาพอดี
       “พี่จิน”
       “พี่จิน เป็นอะไร” ช้อยตกใจ
       “เปล่า จะหยิบขวดน้ำตาล แต่ตามันพร่า” จินดาบอก
       “มา มาชั้นเก็บเอง” พูดจบใหญ่ก็หันไปหยิบไม้กวาด
       “แล้วนี่ทำอะไร” ช้อยถาม
       “ต้มซุปรากบัวไปให้ลูก”
       “แหม ทำไมรักตาธีเหลือเกิน นี่ตัวเองไม่สบายยังจะทำกับข้าวให้ลูกกินอีก” ภาว่า
       “ไม่ใช่ธีหรอก จะทำไปให้แดง” จินดาบอก
       “นั่นยิ่งแล้วใหญ่ มันมีลูกมีผัวแล้วนะ ให้มันหากินเองเถอะ”
       “ใช่ เราก็ยิ่งไม่สบายอยู่ เกิดหัวใจวาย ตายขึ้นมาจะทำยังไง” ช้อยบอก
       “ตายสิดี ทุกวันนี้ก็ไม่อยากอยู่แล้ว” จินดาโพล่งออกมา
       “จะรีบหนีไปไหน อยู่ด่าพวกชั้นอีกซักพักนึงเถอะ” ภาว่า
       จินดาถอนใจ “เฮ้อ เห็นลูกเป็นอย่างนี้แล้วไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อหรอก”
       “ทำไม กัปตันได้เมียใหม่อีกแล้วหรือ” ใหญ่ถาม
       “ไม่ใช่ตาธี ยัยแดงไงเล่า” จินดาบอก
       “แดงตั้งท้องอีกคนแล้วหรือ” ช้อยถาม
       “นี่ ชั้นว่าพวกพี่ช้อยไม่ต้องมาปิดบังชั้นหรอก ชั้นรู้แล้วว่าแดงมันเป็นมะเร็ง” จินดาบอก
       ช้อย ภาและใหญ่มองหน้ากัน
       “แล้วรู้ได้ไง” ภาถาม
       “เมื่อวานชั้นไปเยี่ยมมัน ถึงได้กลับมาต้มรากบัวให้มัน” จินดาเล่า
       “พวกชั้นขอโทษนะพี่จิน ที่ไม่ได้บอกแต่แรก” ใหญ่พูด
       “ชั้นไม่ว่าพวกเธอหรอก” จินดาบอก
       “พูดแล้วก็สงสารแดงมันนะ ไม่น่ามารีบด่วนจากไปเลย” ช้อยพูด
       “พี่ช้อย ทำไมพูดอย่างงั้นแดงมันยังไม่ตายนะ” ภาว่า
       “ชั้นหมายถึงในไม่ช้า” ช้อยบอก
       “แต่พี่ช้อยก็ไม่ควรพูดอย่างนี้นะ” ใหญ่ค้าน
       “ก็มันจริงมั้ยล่ะ คนเป็นมะเร็งกี่รายที่รอด ชั้นเห็นตายทุกคน” ช้อยยืนยัน
       “จะว่าไปก็จริงของพี่ช้อยนะ พี่จินก็ต้องเตรียมใจไว้บ้าง จะได้ไม่เสียใจภายหลัง” ภาบอก
       “ถ้ามีอะไรทำให้ชั้นแลกชีวิตกับลูกได้ ชั้นก็ยอมนะ เพราะชั้นคงทนเห็นลูกตายไม่ได้” จินดาร้องไห้
       ใหญ่หันมาทำท่าตำหนิช้อยว่าไม่น่าพูด ช้อยหน้าเสีย ภารีบปลอบใจแม่จินดา
     
       แดงตักต้มรากบัวขึ้นมากิน จินดานั่งมองลูกสาวด้วยความห่วงใย ช้อย ภา
       และใหญ่นั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย ธีระกับกบนั่งห่างออกไป โดยที่ธีระกำลังพูดโทรศัพท์กับหมอ
       “อร่อยมั้ยลูก” จินดาถาม
       “อร่อยมากค่ะแม่” แดงตอบ
       “นี่แม่ยังเหลืออีกครึ่งหม้ออยู่ในตู้เย็นนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะไปเยาวราชกับพวกป้าช้อย จะไปคุยกับซินแสว่ามีอะไรที่ต้มให้ลูกกินแล้วดีขึ้น”
       “ไม่ต้องหรอกแม่” แดงบอก
       “ไม่ต้องห่วงหรอกแดง พวกป้าจะดูแม่หนูอย่างดี พาแกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” ใหญ่พูด
       “ใช่ อยู่แต่บ้านมันไม่แข็งแรง” ช้อยสนับสนุน
       กบกับธีระเดินเข้ามา
       “แดง ไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ธีเค้านัดหมอที่เคยรักษาเพื่อนเค้าหายได้แล้ว” กบบอก
       “หมอคนนี้เค้าเก่งใช่มั้ยลูก จะช่วยพี่แดงได้ใช่มั้ย” จินดาถามลูกชาย
       “ต้องให้เค้าตรวจอาการก่อนครับแม่” ธีระบอก
       “งั้นหนูไปอาบน้ำก่อนนะ”
       “แม่ไปไหนครับ ตั้นไปด้วย”
       ไตรตั้นวิ่งตามแม่ไป ทุกคนมองตาม
       “กบทำถูกแล้ว อย่าไปยึดกับหมอคนเดียว ที่ไหนดี เราต้องลองให้หมด” ภาบอก
       “แต่ป้าไม่อยากเสนออีกทางเลือกนะ” ช้อยโพล่งออกมา
       “อะไรพี่ช้อย” จินดาถาม
       “ถ้าครั้งนี้ไม่หาย ชั้นอยากให้กินยาหม้อ นะพี่จิน” ช้อยบอก
       “เออใช่ ยาหม้อของหลวงปู่ที่เพชรบุรี เค้าก็ว่าดีนะ”
       “ยาอะไรก็ได้ ขอให้ลูกชั้นหายเถอะ” จินดาบอก
       กบกับธีระมองหน้ากันเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของแม่
     
       หมอผู้หญิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับแดง กบและธีระ
       “ยาตัวใหม่ที่หมอจะให้” หมออธิบาย “หมอก็ไม่รับรองว่าจะหายร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ แต่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของการทดลองมันก็ได้ผลดี แต่อาจจะมีผลข้างเคียงมากและราคาก็สูงมากด้วย”
       แดงมองหน้ากบ
       “เรื่องเงินผมไม่มีปัญหาครับ ขอให้ภรรยาผมหาย” กบพูด
       “ถ้างั้นก็เชิญค่ะ”
       หมอลุกเดินออกไป กบหันมาบอกแดง
       “ไม่ต้องกลัวนะแดง”
       “ขอให้พี่กบอยู่ข้างๆ แดงไม่กลัวหรอกค่ะ” แดงบอก
       แดงหันมามองหน้าธีระ ธีระยิ้มให้กำลังใจ แดงเดินตามหมอออกไป
       “อย่างน้อยเราก็มีหวังนะพี่กบ” ธีระพูด กบพยักหน้า
     
       แดงนอนอยู่ในห้องปฏิบัติการณ์ หมอฉีดยาให้
     
       กบเดินไปเดินมาหน้าห้องอย่างลุ้นๆ ธีระเดินเข้ามาส่งกาแฟให้
       “ขอบใจ” กบบอก
       กบรับกาแฟไปดื่มแล้วชะเง้อมองไปในห้อง ธีระก็มองเข้าไปเช่นกัน
     
       เวลาผ่านไป หมอเดินออกมาจากห้อง
       “เป็นไงครับหมอ” ธีระถาม
       “ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ คงต้องนอนพักฟื้น เพื่อดูอาการ”
       “ขอบคุณครับหมอ”
       หมอเดินไป ธีระกับกบหันมามองหน้าอย่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
     
       วันใหม่ที่บ้านของจินดา หนูดีรินน้ำใส่แก้วแล้วเดินเข้ามาหาจินดา
       “คุณป้าขาทานยาค่ะ”
       “ขอบใจจ้ะ”
       “วัดความดันหน่อยนะคะ”
       “ได้ ได้” จินดาตอบ
       หนูดีวัดความดันให้จินดา จินดามองหนูดี หนูดียิ้มให้
       “แน่นไปมั้ยคะ” หนูดีถาม
       “ไม่จ้ะ หนูเป็นพยาบาลมากี่ปีแล้วลูก” จินดาถาม
       “ยังไม่ถึงปีเลยค่ะ”
       “แล้วทำไมถึงอยากเป็นพยาบาล”
       “ตอนหนูเด็กๆแม่หนูไม่สบายบ่อยๆ ไม่มีใครดูแลแม่ หนูก็เลยคิดว่าถ้าหนูโตขึ้น หนูได้เป็นพยาบาล เวลาแม่แก่หนูจะได้ดูแลแม่ได้”
       จินดายิ้ม “หนูนี่น่ารักจังนะ ถ้าชั้นเป็นแม่หนู ชั้นคงดีใจมากที่มีลูกกตัญญูแบบหนู”
       “แต่คุณป้าก็โชคดีนะคะเพราะคุณธีเค้าก็รักและเป็นห่วงคุณป้ามาก”
       “ใช่ ใครๆก็บอกว่าชั้นโชคดีที่มีลูกชายเป็นคนดี รักและห่วงใยดูแลแม่”
       หนูดีนิ่งฟัง จินดาพูดต่อ
       “สมัยเค้าเด็กๆนะเวลาชั้นไปทำผม เค้าต้องไปนั่งรออยู่กับชั้น ไปไหนไม่ได้ตามติดแม่ยังกะตังเม ส่วนพี่สาวเค้าก็เหมือนกัน รักแม่รักน้อง พอพ่อตายเค้าก็ดูแลน้องดูแลแม่มาตลอด” จินดาถอนใจ “เฮ้อ ไม่น่าโชคร้ายมาเป็นมะเร็งเลย”
       “คุณป้าไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ลูกคุณป้าเป็นคนดี หนูเชื่อว่าพระต้องคุ้มครองค่ะ”
       “ขอบใจนะลูก”
       จินดามองหน้าแล้วยิ้มให้หนูดี ธีระเดินเข้ามา
       “อ้าวธี พี่แดงเป็นไงบ้างลูก” จินดาถาม
       “เรียบร้อยดีครับ หมอให้นอนพักฟื้น” ธีระตอบ
       “แล้วหมอว่าไง”
       “คงต้องรอดูผลของยาครับแม่ ผมซื้อขนมจีบซาลาเปามาให้แม่ครับ เดี๋ยวผมใส่จานให้”
       ธีระเดินเข้าครัวไป
       “หนูดี วานไปช่วยพี่เค้าหน่อย” จินดาบอก
       “ค่ะ”
       หนูดีลุกเดินตามธีระเข้าไปในครัว จินดายกมือไหว้พระ
       “ขอให้แดงหายด้วยเถอะ”
     
       จบตอนที่ 12

รักคุณเท่าฟ้า ตอนที่ 12 (3)


รักคุณเท่าฟ้า ตอนที่ 12 (ต่อ)
     
       วิกผมสวมอยู่กับหุ่น แดงนั่งอยู่บนเตียง ธีระเดินเข้ามาจับมือพี่สาว
       “พี่แดงอย่าท้อนะ ยังไงก็ต้องสู้” ธีระให้กำลังใจ
       “พี่ไม่ท้อหรอก พี่จะสู้ให้ถึงที่สุด พี่จะต้องอยู่ดูไตรตั้นจนโตให้ได้” แดงบอก
       “แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง พักนี้ไม่เห็นข้าวตูเลย” กบถาม
       “ใช่ โทรไปก็ไม่เห็นโทรกลับ” แดงบอก
       ธีระนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ
       “เค้าเลิกกับผมแล้วครับ”
       “จริงหรือธี เรื่องอะไรกัน” แดงตกใจ
       “อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะแม่อีก” กบถาม
       “ไม่ใช่แม่หรอกครับ เป็นเพราะผมเองมากกว่าที่เป็นฝ่ายรักและห่วงใยแม่มากกว่าเค้า”
       “ตูเค้ารู้สึกอย่างงั้นหรือ” แดงถาม
       “ครับ ถูกของเค้า ผมคงรักแม่มากกว่าอะไรทั้งหมด”
       “ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับแกอีกแล้ว พี่สงสารแกจริงๆ” แดงว่า
       “ว่าไม่ได้ ธีเค้าเลือกที่จะเป็นลูกที่รักแม่มากกว่าแฟน” กบบอก
       “แล้วพี่กบล่ะครับ รักใครมากกว่ากัน” ธีระถามขึ้น
       กบมองหน้าแดง “พี่หรือ ถ้าพี่อยู่กับเมียพี่ก็ต้องบอกว่ารักเมีย มากกว่าแม่แต่เวลาอยู่กับแม่พี่ก็บอกแม่ว่ารักแม่มากกว่าเมีย อย่าว่าพี่นะแดง”
       “วันนี้แดงไม่ว่าใครอีกต่อไปแล้ว เพราะแดงไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่รักใครได้อีกนานแค่ไหน” แดงบอก
       “อย่าคิดมากน่ะพี่แดง พี่แดงต้องหาย ใช่มั้ยพี่กบ”
       “ใช่ พี่เชื่อว่าแดงต้องหาย” กบพูดหนักแน่น
       กบและธีระหอมแก้มแดงคนละข้าง
     
       หนูดีบีบเครื่องวัดความดันให้จินดา โดยที่มีม่านปิดล้อมรอบเตียงอยู่
       “ความดันเป็นไงคะ” จินดาถาม
       “ดีค่ะคุณป้า” หนูดีหยิบปรอทขึ้นมา “คุณป้าขาวัดไข้หน่อยค่ะ”
       หนูดีเสียบปรอทใส่ปากจินดาแล้วเดินไปปลายเตียง
       “คุณป้ายกขาหน่อยค่ะ”
       หนูดีดึงถาดปัสสาวะออกมาแล้วเดินกลับมาดึงปรอทออกมาดู
       “มีไข้มั้ยคะ” จินดาถาม
       “ไม่มีค่ะ” หนูดีตอบ
       หนูดีรูดม่านที่ปิดเตียงคนไข้ออกมา ธีระนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย
       “เรียบร้อยแล้วค่ะ” หนูดีหันไปถามจินดา “บ่ายนี้คุณป้าอยากทานอะไรพิเศษมั้ยคะ เดี๋ยวหนูจะออกไปทานข้าวข้างนอก หนูจะซื้อมาฝาก”
       “ไม่ล่ะจ้ะ หนูดี ขอบใจนะลูก”
       “ค่ะ”
       หนูดีเดินออกไป ธีระมองตาม
       “พยาบาลคนนี้ดีจังดูแลแม่ดี๊ดี ลูกมีตังค์มั้ย ขอตังค์แม่ซักห้าร้อยแม่จะให้ทิปเค้า” จินดาบอก
       “เดี๋ยวผมให้เองก็ได้ครับ” ธีระบอก
       “เห็นหนูดีบอกว่าพรุ่งนี้หมอจะดูแม่อีกทีถ้าไม่มีอะไรแล้วก็จะให้กลับบ้านได้”
       “แต่ผมอยากให้แม่อยู่อีกซักพักนะครับ ให้หมอเช็คให้แน่นอนก่อน”
       “แต่แม่อยากกลับบ้านแล้วนะลูก” จินดาบอก
       “แต่ถ้ากลับไปใครจะดูแม่ล่ะครับ อรก็ไม่อยู่แล้วด้วย”
       “ไม่เป็นไร แม่ไปอยู่บ้านยัยแดงเค้าก็ได้”
       “อย่าเลยครับ พี่แดงก็มีงานทั้งวันไม่มีเวลาดูแม่หรอก”
       “แต่ที่จริงแม่ก็อยู่คนเดียวได้นะ ให้ยัยช้อยยัยภายัยใหญ่มาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้”
       “พวกป้าช้อยเค้าคงมาอยู่กับแม่ไม่ได้ตลอดหรอกครับ ผมจะพยายามหาคนมาอยู่กับแม่ดีกว่า”
       “ก็ตามใจลูก”
       “แม่หิวรึยัง” ธีระถาม
       “ยังหรอกลูก” จินดาถอนใจ “ลูกเลยต้องมาปวดหัวกับเรื่องของแม่”
       “ไม่หรอกครับ เป็นหน้าที่ผมที่ผมต้องดูแลแม่ต่างหาก”
       จินดาจับมือธีระแล้วก็หอมมือลูกชาย
     
       ธีระเดินออกมาจากห้อง เขาเจอหนูดีกำลังเข็นรถยาออกมาจากห้อง ธีระเดินสวนแล้วก็ชะงัก
       “ขอโทษครับ คุณพยาบาล ผมมีเรื่องจะถามหน่อย”
       “อะไรหรือคะ” หนูดีถาม
       “พอจะมีใครที่รับดูแลคนแก่ตามบ้านบ้างมั้ยครับ”
       “ที่นี่ไม่มีหรอกค่ะ ต้องลองติดต่อตามศูนย์ดูแลคนชรานะคะ”
       “ครับ ขอบคุณมาก แต่ถ้ามีใครสนใจฝากบอกให้หน่อยนะครับ”
       “ได้ค่ะ”
       ธีระเดินออกไป หนูดีมองตาม แล้วพยาบาลรุ่นพี่ก็เรียก
       “หนูดี”
       “ขา” หนูดีขานรับ
       “ช่วยพี่ดูคนไข้ห้องนี้หน่อยจ้ะ”
       “ค่ะ”
       หนูดีเดินตามพยาบาลรุ่นพี่เข้าไปที่ห้องคนไข้
     
       หนูดีถือถุงหมุสะเต๊ะเดินมาตามทางเดินหน้าห้องเช่าของเธอ แล้วก็มาหยุดหน้าห้องที่มีป้ายรับตัดเย็บเสื้อผ้าติดอยู่หน้าห้อง หนูดีเปิดประตูเข้าไป
     
       หนูดีเปิดประตูเข้ามา แม่ของหนูดีกำลังเย็บชุดกระโปรงอยู่
       “กลับมาแล้วหรือลูก”
       “จ้ะแม่ หนูซื้อหมูสะเต๊ะมาฝากแม่ด้วย มากินข้าวกันเถอะแม่ หนูหิว” หนูดีเดินไปแกะหมูสะเต๊ะใส่จาน
       “ลูกกินก่อนเถอะ แม่อุ่นขาหมูให้แล้ว”
       “มากินพร้อมกันเถอะแม่”
       “ไม่ได้ลูก เดี๋ยวสองทุ่มเค้าจะมาเอาชุดนี้แล้ว”
       เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนจักรดังขึ้น แม่หยิบมากดรับ
       “ฮัลโหล .. ค่ะ... ค่ะ เดือนหน้าใช่มั้ยคะ”
       หนูดีมอง
       “ค่ะค่ะ แล้วชั้นจะเอาเงินไปให้นะคะ ค่ะ” แม่กดวางสาย
       “ใครหรือแม่”
       “เสี่ยวิทย์น่ะสิ แกโทรมาถามเรื่องเงินที่เราไปกู้แก แกบอกให้เวลาแค่เดือนหน้า ถ้าไม่มีเงินไปคืน แกจะเอาเรื่อง”
       “แล้วแม่จะหาเงินทันหรือ”
       “ทันลูก แม่คุยกับลุงเชียรแล้ว เค้าจะให้แม่ยืมเงินไปใช้หนี้ก่อน”
       “หนูอยากจะช่วยแม่จังเลย แต่ลำพังเงินเดือนหนูก็ไม่ได้มาก” หนูดีบอก
       “ไม่ต้องหรอกลูก เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่แม่ แม่จัดการเองได้”
       แม่หันไปเย็บผ้าต่อ หนูดีมองแม่แล้วพึมพัมกับตัวเอง
       “หรือเราควรจะหางานพิเศษช่วยแม่อีกแรง”
     
       เช้าวันใหม่ หมอวิชิตตรวจอาการของจินดา
       “หายใจลึกๆครับคุณป้า ดีครับ มองบนซิครับ” หมอวิชิตมอง “โอเค อาการอัมพฤกษ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานคงหายสนิท”
       “กลับบ้านได้แล้วใช่มั้ยคะ” จินดาถาม
       “ได้ครับ ถ้าอยากจะกลับก็กลับได้แล้ว” หมอวิชิตหันมาบอกธีระ “แต่หมออยากให้มีคนอยู่ดูแลใกล้ชิดคุณป้าหน่อยนะครับเพราะแกอาจจะยังทำอะไรด้วยตัวเองไม่สะดวก”
       “ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ”
       ธีระยกมือไหว้ หมอวิชิตเดินออกจากห้อง พยาบาลเดินตามไป
       “จันทร์อังคารชั้นอยู่เฝ้าเวรเอง” ช้อยอาสา
       “งั้นชั้นก็ต้องพุธพฤหัส” ใหญ่บอก
       “ส่วนชั้นก็เป็นศุกร์เสาร์” ภาพูด
       “แล้ววันอาทิตย์ล่ะ ใครจะอยู่” ช้อยถาม
       “วันอาทิตย์ไม่ต้องครับ ผมกับพี่แดงจะสลับกันมาอยู่กับแม่” ธีระบอก
       “แดงจะดูได้หรือ ตัวเค้าเองก็แย่แล้วนะ” ช้อยหลุดปาก
       จินดาถามทันที “แดงเป็นอะไร”
       ใหญ่กับภารีบติง “พี่ช้อย”
       “เปล่าจ้ะ ชั้นหมายถึงงานที่ร้านเค้าเยอะ เค้าจะมีเวลาดูหรือ” ช้อยพูดแก้
       “ไม่เป็นไรครับ สรุปว่าวันอาทิตย์ผมอยู่ดูเอง” ธีระบอก
       “ว่าแต่ใครจะเป็นคนเจาะน้ำตาล ชั้นกลัวเข็มจัง” ใหญ่ว่า
       “ชั้นก็ตาไม่ดีนะ เจาะผิดเจาะถูกจะยุ่ง” ภาออกตัว
       “เรื่องนั้นเดี๋ยวผมจัดการเองครับ” ธีระบอกแม่ “แม่รออยู่นี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะไปจ่ายเงินข้างล่างก่อน”
       “ไป ไปกัปตันไม่ต้องห่วง พวกป้าดูเอง” ใหญ่บอก
       ธีระเดินออกไปจากห้อง
     
       หนูดีนั่งทำงานพร้อมกับคอยชะเง้อมองธีระ ธีระเดินเลี้ยวออกมาแล้วเดินผ่านไป หนูดีรีบวิ่งตาม
       “คุณธีระคะ”
       ธีระชะงัก “ว่าไงครับ”
       “ที่เมื่อวานคุณถามหาคนดูแลคุณป้า ได้คนรึยังคะ”
       “ยังเลยครับ มีคนจะสมัครหรือครับ”
       “ค่ะ”
       “ใครหรือครับ”
       “หนูดีเองค่ะ”
       “งั้นก็ดีสิครับ คุณแม่คงดีใจที่ได้คุณไปดูแล”
       “แต่ว่าหนูดีจะทำได้เฉพาะหลังเลิกงานแล้วก็วันหยุดวันอาทิตย์ นะคะ”
       “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
       “แล้วหนูดีก็เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงปีนะคะ อาจจะไม่เก่งมาก”
       “ไม่มีปัญหาครับ ขอแค่มีใครที่พอจะมีความรู้ดูแลแกก็พอแล้ว”
       หนูดียกมือไหว้ “ขอบคุณนะคะ”
       “ผมสิครับ ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ ที่คุณจะช่วยดูแลคุณแม่”
       ธีระยิ้มให้แล้วเดินออกไป หนูดีมองตามอย่างชื่นชม ธีระหันมามอง หนูดีส่งยิ้มให้
     
       ที่บ้านจินดา จินดานั่งอยู่บนเตียงหน้าทีวี ธีระเอายามาส่งให้แม่ แล้วป้อนน้ำให้แม่ดื่ม
       “พาแม่ไปฉี่ทีลูก” จินดาบอก
       “ไปครับ”
       ธีระประคองแม่ให้ลุกขึ้น จินดาก้าวเดินไปสองก้าวก็ปัสสาวะราดออกมา
       “แม่ขอโทษลูก แม่อั้นไม่อยู่”
       “ไม่เป็นไรครับ ไปห้องน้ำก่อน”
       ธีระประคองแม่เข้าไปในห้องน้ำ ธีระเดินออกมาแล้วเดินไปหยิบเสื้อมาให้แม่เปลี่ยน เขาเดินเข้าไปช่วยแม่เปลี่ยนเสื้อ
       “มาครับแม่ ผมช่วย”
     
       ธีระหยิบม๊อบมาถูพื้นที่เปียกปัสสาวะของแม่ จินดานั่งมอง
       “แม่สงสารลูกจังเลย ต้องมาเช็ดฉี่เช็ดอึให้แม่” จินดาบอก
       “อย่าพูดอย่างงั้นสิครับแม่ ตอนผมเป็นเด็ก แม่ทำให้ผมเยอะกว่านี้อีก”
       “แต่ตอนนี้ลูกโตแล้วเป็นถึงกัปตันขับเครื่องบิน แต่ต้องมาทำงานบ้านแบบนี้ แม่ไม่ชอบเลย”
       “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมดีใจมากกว่าที่ได้ดูแลแม่ แล้วเที่ยงนี้แม่อยากกินอะไรผมจะออกไปซื้อให้”
       “อะไรก็ได้ลูก แม่กินไม่ค่อยลง”
       “แต่แม่ต้องกินนะครับ แม่จะได้อยู่กับผมไปนาน ๆ”
       จินดาน้ำตารื้น
       “แม่รักลูกนะ”
       “ผมก็รักแม่ครับ”
       เสียงออดดังขึ้น จินดากับธีระชะงัก
       “เดี๋ยวผมไปเปิดประตูก่อน”
       ธีระลุกออกไป จินดามองลูกชายแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมาด้วยความปลื้มใจ
     
       ธีระเดินมาหยุดหน้าประตู เขาเห็นหนูดียืนหันหลังมองบ้านหลังอื่นอยู่
       “หวัดดีครับ” ธีระทัก
       หนูดีหันมายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะ หนูดีมาสายไปหน่อย พอดีลงรถเมล์ผิดซอยน่ะค่ะ”
       “ไม่เป็นไรครับ เชิญ”
       ธีระเปิดประตูให้หนูดีเดินเข้ามา หนูดีเดินตามธีระเข้าบ้านไป
     
       หนูดีเดินตามธีระเข้ามาในบ้าน จินดานั่งรออยู่
       “คุณหนูดีมาแล้วครับแม่” ธีระบอก
       “สวัสดีค่ะคุณป้า” หนูดียกมือไหว้
       “หวัดดีจ้ะหนูดี” จินดารับไหว้
       “คุณป้าเป็นยังไงบ้างคะ”
       “จะว่าสบายดี เมื่อกี้ก็เพิ่งฉี่ราดไป”
       “อ้าว หรือคะ คุณป้าต้องห้ามกลั้นปัสสาวะนะคะ”
       “ไม่ได้กลั้นหรอกลูก มันอั้นไม่อยู่”
       “แม่อยู่กับคุณหนูดีก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาผ้าไปส่งซัก แล้วก็ซื้ออาหารเที่ยงมาให้” ธีระหันมาถามหนูดี “คุณทานอะไรครับ”
       “อะไรก็ได้ค่ะ”
       “ทานได้ทุกอย่างนะครับ”
       “ค่ะ”
       ธีระยิ้มให้แล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าจากตระกร้ามาใส่ถุง ก่อนจะหยิบถังขยะออกมาเพื่อนำไปเททิ้ง หนูดีมอง
       “ขยะไม่ต้องเทหรอกลูก พรุ่งนี้ป้าภาเค้ามาเก็บเอง” จินดาบอกลูกชาย
       “ไม่เป็นไรครับ”
       ธีระเดินออกไป หนูดีถามจินดา
       “แล้วมีใครเจาะดูน้ำตาลให้คุณป้าบ้างรึยังคะ”
       “ยังเลยจ้ะ”
       “งั้นเดี๋ยวหนูเจาะให้นะคะ กระเป๋าอุปกรณ์อยู่ไหนคะ”
       “รู้สึกจะอยู่บนโต๊ะน่ะลูก”
       หนูดีลุกไปหยิบกระเป๋าสำหรับเจาะน้ำตาล พร้อมอุปกรณ์สำลีแอลกอฮอล์มาเจาะวัดระดับน้ำตาลให้จินดา
     
       ธีระยกส้มตำไก่ย่างมาวางบนโต๊ะอาหาร
       “มาครับแม่ กับข้าวเรียบร้อยแล้ว”
       ธีระเข้าไปประคองแม่ให้ลงนั่งที่เก้าอี้ หนูดีเดินออกจากห้องน้ำ
       “ทานข้าวครับ” ธีระบอก
       หนูดีรับคำ “ค่ะ”
       “นี่ราดหน้าปลาเต้าซี่ของแม่”
       ธีระหยิบจานราดหน้าส่งให้ จินดาจะหยิบช้อนแต่ก็ไม่ถนัด
       “มาครับ ผมป้อนดีกว่า”
       ธีระตักราดหน้าป้อนแม่ แล้วหยิบทิชชู่เช็ดปากให้แม่ หนูดีมอง
       “อีกคำนะแม่” ธีระบอก
       ธีระตักราดหน้าป้อนแม่อีก เขาหันมาเห็นหนูดีกำลังมองอยู่
       “ทานเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
       “ค่ะ”
       “อร่อยมั้ยครับแม่” ธีระถาม
       “อร่อยลูก”
       “งั้นกินอีกนะครับ” ธีระป้อนอีก “เย็นนี้กินข้าวต้มปลาจาระเม็ดดีมั้ยแม่ ผมจะไปซื้อให้ที่สะพานเหลือง”
       “ได้ลูก ขอน้ำแม่หน่อย”
       ธีระหยิบน้ำขึ้นมาป้อนให้ แล้วก็ตักอาหารป้อนอีก หนูดีเหลือบมองธีระกับจินดา
     
       จินดานอนหลับอยู่บนเตียงหน้าทีวี หนูดีเดินออกมาที่ห้องรับแขก ส่วนธีระยืนอยู่ที่ระเบียง หนูดีลงไปนั่งที่โซฟา ธีระหันมามองแล้วเดินเข้ามาหา
       “ขอโทษครับคุณหนูดี ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
       “เรื่องอะไรคะ” หนูดีถาม
       “เป็นไปได้มั้ยครับที่คุณจะมานอนค้างกับแม่ผม”
       หนูดีทำหน้างง
       “ผมหมายถึงว่าบางช่วงผมไม่อยู่ต้องไปบินสามสี่วัน ผมอยากให้มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ตอนกลางคืน”
       “คุณธีจะไปเมื่อไหร่คะ” หนูดีถาม
       “อาทิตย์หน้าผมมีบินไปบรัสเซล วันศุกร์เสาร์อาทิตย์ กลับวันจันทร์ ถ้าคุณไม่มีภาระที่บ้าน ผมจะให้พิเศษอีกวันล่ะพันบาท”
       หนูดีคิด “ก็ได้ค่ะ”
       “งั้นผมให้คุณล่วงหน้าเลย นี่ครับห้าพัน”
       ธีระหยิบเงินจากกระเป๋ามาส่งให้
       “เอาไว้คุณกลับมาแล้วค่อยจ่ายก็ได้ค่ะ”
       “ไม่เป็นไรครับ”
       “ขอบคุณค่ะ” หนูดียกมือไหว้แล้วรับเงิน
       “ผมฝากดูคุณแม่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะออกไปธุระ แล้วเย็น ๆ ผมจะซื้อกับข้าวมาให้”
       “ค่ะ”
       ธีระเดินออกไป หนูดีมองเงินในมือด้วยความดีใจ
       “ถ้าให้นอนทุกวันก็ดีสิ เดือนนึงจะได้ตั้งสามหมื่น” หนูดีพูดกับตัวเอง
     
       ไตรตั้นนั่งทำการบ้านอยู่ที่ร้านต้นไม้ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไตรตั้นรับสาย
       “สวัสดีครับ ไตรตั้นรับจัดสวนครับ ... รอเดี๋ยวนะครับ” ไตรตั้นหันไปตะโกนเรียก “แม่ครับ เค้าจะถามเรื่องจัดสวนครับ”
       แดงเดินออกมาจากด้านหลังร้านแล้วมารับโทรศัพท์ในท่าทางที่ดูไม่ค่อยสบายนัก
       “ฮัลโหล ... ค่ะ ...ได้ค่ะ อีกชั่วโมงจะให้คุณกบโทรกลับนะคะ”
       แดงวางสาย
       “แม่ครับ ตั้นอยากกินโกโก้เย็นครับ”
       “ได้ลูก เดี๋ยวแม่ชงให้”
       แดงเดินไปในครัว สักพักเธอก็รู้สึกหน้ามืดและตาพร่ามัว แดงก้าวเดินไปอีกก้าวแล้วก็ล้มลง ไตรตั้นมองด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งเข้ามาหาแม่แล้วเขย่าตัว
       “แม่ แม่ครับ แม่เป็นอะไรครับ” ไตรหันไปเรียกคนในร้าน “พี่พจครับพี่พจช่วยแม่ด้วย”
       ไตรตั้นวิ่งออกไปนอกร้าน จังหวะเดียวกับที่ธีระเดินเข้ามา
       “น้าธีครับ ช่วยแม่ด้วยครับ”
       “แม่เป็นอะไร” ธีระถาม
       “ไม่รู้ครับแม่ล้มลงไป”
       “แล้วแม่อยู่ไหน”
       “อยู่นี่ครับ”
       ไตรตั้นวิ่งนำธีระเข้าไป ธีระวิ่งตามมาก็เห็นแดงนอนอยู่กับพื้น
       “พี่แดง ... พี่แดง” ธีระหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด “ส่งรถพยาบาลมาที่......ด้วยครับ”
       “แม่ครับแม่ แม่ตื่นสิครับแม่”
       ไตรตั้นเขย่าเรียกแดง แต่แดงก็ยังไม่ได้สติ
     
       รถพยาบาลวิ่งมาตามถนน
       แดงนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล กบ ธีระและไตรตั้นอยู่ในห้องกับหมอ
       “เป็นภาวะน้ำท่วมปอดครับ” หมอบอก
       “เกิดจากอะไรครับ” กบถาม
       “เป็นผลข้างเคียงจากการฉายรังสีน่ะครับ”
       “แล้วอันตรายมากแค่ไหนครับ” กบถามต่อ
       “โชคดีที่มาโรงพยาบาลทัน ไม่งั้นก็คงแย่เหมือนกัน หมออยากให้อยู่โรงพยาบาลสองสามวันเพื่อดูอาการนะครับ”
       “ครับ ขอบคุณครับคุณหมอ”
       หมอเดินออกไปจากห้อง กบหันมาบอกธีระ
       “โชคดีนะที่นายมา ไม่งั้นแดงคงแย่”
       “แล้วเด็กที่ร้านไปไหนหมดครับ” ธีระถาม
       “พอดีช่วงนี้งานมันเข้ามาเยอะ พี่เลยเอาคนไปช่วยหมด ไม่คิดว่าแดงจะเป็นอะไร” กบบอก
       “จากนี้ไปผมว่าคงต้องมีคนดูแลใกล้ชิดพี่แดงหน่อยนะพี่”
       “พ่อครับ เมื่อไหร่แม่จะตื่น” ไตรตั้นถาม
       “อีกซักเดี๋ยวนะลูกให้แม่หลับซะหน่อย” เสียงมือถือของกบดังขึ้น “ฮัลโหล ... ครับ ... ครับ เดี๋ยวอีกซักชั่วโมงผมไปดูให้นะครับ” กบวางสายแล้วถอนใจ “ลูกค้าก็ดันมาเร่งงานตอนนี้ ธี พี่ฝากไตรตั้นซักคืนได้มั้ย เดี๋ยวพี่จะออกไปดูงานแล้วคืนนี้พี่จะมาเฝ้าแดงเอง”
       “ได้ครับ”
       “ตั้นจะนอนกับแม่” ไตรตั้นบอก
       “ไปนอนกับคุณยายซักคืนนะลูก พรุ่งนี้พ่อจะไปรับ”
       “แต่ว่า”
       “อย่าดื้อสิลูก ตั้นเป็นเด็กดีไม่ใช่หรือ”
       “ก็ได้ครับ”
       “ฝากด้วยนะธี”
       “ไม่ต้องห่วงพี่กบ” ธีระบอก
       “ให้พ่อหอมที” กบหอมแก้มลูก “อยู่กับน้าธีนะลูก”
       ไตรตั้นรับคำ “ครับ”
       กบเดินออกไป ธีระมองแดงแล้วหันมาบอกไตรตั้น
       “เดี๋ยววันนี้ไปนอนกับคุณยาย ตั้นอย่าบอกคุณยายนะว่าแม่ไม่สบาย”
       “ทำไมบอกไม่ได้ล่ะครับ”
       “เดี๋ยวคุณยายจะเป็นห่วงแม่ แล้วจะไม่สบายไปอีกคนน่ะสิ”
       “ได้ครับ ตั้นจะไม่บอกคุณยาย”
       “ดีมาก”

รักคุณเท่าฟ้า ตอนที่ 12 (2)


รักคุณเท่าฟ้า ตอนที่ 12 (ต่อ)
       หน้าบ้านข้าวตูมืดสนิท ธีระเดินเข้ามากดออดแล้วทุกอย่างก็เงียบ ธีระหยิบดอกไม้ที่เขาเสียบเอาไว้ตอนเช้าออกมาดูก็เห็นดอกไม้แห้งเหี่ยว ธีระถอนใจแล้วขึ้นรถขับออกไป
     
       ธีระเดินมาตามทางเดินในสนามบิน นักบิน สจวตและแอร์โฮสเตสเดินตามมา ข้าวตูเดินเลี้ยวมาเห็นธีระก็ชะงัก ธีระมองเห็นข้าวตู ข้าวตูหันหลังแล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปอีกทาง
       ธีระบอกลูกน้อง “พวกคุณเข้าไปก่อน เดี๋ยวผมตามไป”
       ธีระเดินตามข้าวตูไปอย่างรวดเร็ว
       “ตู เดี๋ยวสิตู” ธีระเรียก ข้าวตูชะงัก “พี่โทรไปทำไมไม่รับสาย”
       ข้าวตูนิ่ง ธีระพูดต่อ “ไม่เอาน่ะ อย่าทำอย่างนี้สิ พี่ขอโทษ”
       “พี่ธีไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ตูไปทบทวนดูแล้วตูคิดว่าเราควรจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ ตูกำลังจะกลับอเมริกาค่ะ”
       “ไม่เอาน่าตู ไหนตูเคยบอกว่าตูเข้าใจเรื่องแม่พี่ ตูไม่สนใจว่าแม่จะชอบหรือไม่ชอบตูไม่ใช่หรือ”
       “ใช่ค่ะ ตูเคยบอก เพราะตอนนั้นตูคิดว่าปัญหามันอยู่ที่แม่พี่ธีแต่ตอนนี้ตูรู้แล้วว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวพี่ธีมากกว่า”
       ธีระงง “ตัวพี่งั้นหรือ”
       “ใช่ค่ะ บางทีพี่ธีอาจจะไม่รู้ตัวเอง”
       “พี่ไม่เข้าใจ”
       “พี่ธีต่างหากที่เป็นฝ่ายรักแม่และให้ความสำคัญกับแม่พี่มากกว่าใครๆ ทั้งหมด”
       “ไม่จริงหรอกตู ที่พี่ทำอย่างงั้นก็แค่อยากให้แม่สบายใจ”
       “นั่นล่ะค่ะ พี่ธีอาจจะคิดว่าเรื่องที่ทำเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น”
       ธีระอึ้ง
       “พี่อาจจะคิดว่าที่ผู้หญิงทุกคนไปจากพี่เป็นเพราะแม่พี่ แต่ที่จริงแล้ว ตูว่าสิ่งที่ทุกคนรับไม่ได้เป็นเพราะตัวพี่มากกว่า เพราะพี่เลือกที่จะอยู่ข้างแม่ อยู่กับแม่”
       “แต่คำว่าแม่นะตู ถ้าเราไม่รักแม่แล้วเราจะ ... “
       “ก็นี่ไงคะตูถึงต้องเป็นฝ่ายไป พี่ธีไม่ผิดหรอกค่ะ”
       “ไม่ไปได้มั้ยตู พี่รักตูนะ”
       “เอาไว้วันนึงที่ไม่มีแม่พี่ แล้วตูจะกลับมาหาพี่ ลาก่อนค่ะ ตูรักพี่ธี”
       ข้าวตูเอื้อมมือมาแตะมือธีระ
       “ถ้ามีรูทบินไปอเมริกาโทรกันบ้างนะคะ เผื่อจะได้กินข้าวกัน”
       ข้าวตูหันหลังเดินออกไป
       “ตู ...” ธีระเรียก ข้าวตูเดินไปสองก้าวแล้วหยุดก่อนจะหันมามอง ธีระพูดต่อ “ให้โอกาสพี่ได้มั้ย”
       ข้าวตูยิ้ม “เชื่อตู วันไหนที่พี่ไม่มีแม่ แล้วเราค่อยคุยกัน”
       ข้าวตูหันหลังเดินไปช้าๆ ธีระอึ้งแล้วมองตามอย่างสลดก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทาง
       ธีระเดินเลี้ยวจากไป ข้าวตูหันมามองแล้วก็น้ำตารินไหล
       “ตูรักพี่ธีนะคะ” ข้าวตูหันหน้าเดินออกไป
     
       ธีระนั่งประจำที่นักบินแล้วดันคันเร่ง เขามองเห็นรันเวย์และเครื่องบินกำลังพุ่งขึ้น ธีระกดไฟหน้าจอแล้วเปิดสมุดการบิน เขาเห็นรูปข้าวตูที่ถ่ายคู่กับเขาเสียบอยู่ในนั้น ธีระชะงักมองแล้วก็เสียบรูปเก็บกลับไปแล้วปิดสมุด ธีระมองนิ่งไปข้างหน้า
     
       ช้อยป้อนข้าวจินดาอยู่ในห้องผู้ป่วย
       “เอานี่อีกคำนึง” จินดาอ้าปากรับ “เก่งมากพี่จิน” ช้อยชม
       จินดาเคี้ยวอาหาร
       “ของคาวเสร็จ ก็ตบฝรั่งซักชิ้นนะ” ภาบอก
       ภาส่งฝรั่งป้อนแต่จินดาส่ายหน้า
       “เอาน่า กินซักชิ้นจะได้ล้างปาก” ใหญ่คะยั้นคะยอ
       จินดาอ้าปากรับพอเคี้ยวไปสักพักก็สำลักเพราะฝรั่งติดคอ
       “ตายแล้วพี่ช้อย เอาน้ำมาเร็ว” ใหญ่ตกใจ
       ช้อยส่งน้ำป้อนจินดา จินดาสำลักบ้วนน้ำออกมาเต็มหน้าเพื่อนๆ
       “พี่จิน” ภาตกใจ
       แล้วจินดาก็ชักตาค้างแล้วหงายหลังไป
       “พี่จิน พี่จิน” ช้อยเรียก
       “เฮ้ย พี่จินเป็นอะไร ไปตามหมอมาเร็ว ยัยภา” ใหญ่รีบบอก
       ภาวิ่งออกไปจากห้องทันที
     
       ภาวิ่งออกมาที่เคาท์เตอร์พยาบาล
       “คุณพยาบาลคะ คุณพยาบาล”
       ภาวิ่งเข้ามาคว้าแขนหนูดี พยาบาลสาวสวยที่กำลังยืนหันหลังเขียนชาร์ตในกระดานอยู่
       “ไปดูคนไข้หน่อยค่ะ คนไข้สำลักชักตาตั้งอยู่ในห้องค่ะ”
       “ห้องไหนคะ” หนูดีถาม
       “ห้องนู้นค่ะ”
       ภาลากแขนหนูดีวิ่งออกไป
     
       หนูดีเปิดประตูห้องจินดาเข้ามากับภา ช้อยกับใหญ่กำลังรุมจินดาที่นอนหมดสติอยู่
       “พี่จิน อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ” ช้อยว่า
       “พี่จินต้องไม่ตายนะ” ใหญ่รีบบอก
       หนูดีเข้ามาดูจินดา
       “ถอยออกไปก่อนค่ะ”
       “คุณพยาบาลต้องช่วยพี่จินนะคะ” ภาบอก
       “คนไข้เป็นอะไรคะ” หนูดีถาม
       “ไม่ทราบค่ะ” ใหญ่ตอบ “ทานข้าวต้มอยู่ดี ๆ แล้วก็ทานฝรั่งไปคำเดียวก็สำลักตาค้าง”
       หนูดีเข้ามาปั๊มหัวใจจินดาทันที
       “พี่จินต้องไม่ตายนะ” ช้อยพูด
       “พี่จินฟื้นสิ” ภาร้องออกมา
       หนูดีกดปั๊มหัวใจแล้วก็เป่าปากจินดา จินดาสำลักออกมา หนูดีหยิบออกซิเจนมาใส่ให้ก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้แล้วจึงหันไปคว้าโทรศัพท์
       “ต่อคุณหมอวิชิตด่วนค่ะ คนไข้ห้อง.... มีอาการน๊อคค่ะ”
       “พี่จินเป็นอะไรคะ” ช้อยถามหนูดี
       “ตอนนี้ยังไม่ทราบค่ะ คุณป้าถอยออกไปก่อนนะคะ”
       ช้อย ภา และใหญ่ถอยออกไป หนูดีหยิบเครื่องออกมาเสียบตามนิ้ว
     
       กบกดโทรศัพท์อยู่ที่ทางเดินในโรงพยาบาล
       “ธีหรือ”
       ธีระพูดโทรศัพท์กับกบอยู่ที่ทางเดินริมถนนในต่างประเทศ
       “ครับพี่กบ มีอะไรพี่ แม่เป็นอะไร”
       “อยู่ๆแม่ก็สำลักอาหารแล้วก็ช๊อค” กบบอก
       “แล้วไงครับ” ธีระถามต่อ
       “แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แล้วนายจะกลับเมื่อไหร่”
       “พรุ่งนี้ครับ”
       “แค่นี้นะ พี่โทรมาบอกให้นายรู้”
       “ครับ พรุ่งนี้ลงเครื่องแล้วผมจะรีบไปโรงพยาบาล แล้วพี่แดงล่ะครับเป็นไงบ้าง” ธีระถาม
       “หมอให้ยานอนหลับอยู่” กบบอก
       “แล้วผลตรวจเป็นไงครับ”
       “หมอยังไม่บอก แต่วันนี้ให้ไปตรวจซ้ำ”
       ธีระถอนใจหนัก “ชีวิตผมช่วงนี้คงป็นช่วงที่แย่ที่สุด”
       “มีอะไรหรือ”
       “เอาไว้กลับไปค่อยคุยกันพี่กบ”
       “อืมม์ แล้วเจอกัน” กบวางสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       ธีระวางสายแล้วถอนหายใจ
     
       จินดานอนหลับตานิ่งอยู่ในห้องผู้ป่วย ช้อยนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เตียง
       “ฮือ ฮือ ชั้นไม่น่าเอาน้ำให้พี่จินกินเลย”
       “ชั้นต่างหากที่คะยั้นคะยอให้พี่จินกินฝรั่ง” ใหญ่ออกตัว
       “ชั้นสิไม่น่าให้แกกินชิ้นใหญ่ แกเลยมาตายเพราะน้ำมือชั้น” ภาบอก
       หนูดีเปิดประตูเข้ามา
       “คุณพยาบาลคะ พี่จินตายแล้วค่ะ” ช้อยบอก
       หนูดีตกใจ “หา ...จริงหรือคะ”
       “ค่ะ เพิ่งตายเมื่อครู่นี้เอง ยังไม่ได้ร่ำลาก็ขาดใจซะแล้ว” ภาว่า
       “พวกเราไม่น่าฆ่าพี่จินเลย” ใหญ่คร่ำครวญ
       หนูดีวิ่งเข้าไปดูที่เตียงก็เห็นจินดานอนหลับ
       “ยังหรอกค่ะ คุณป้ายังไม่ตายหรอก” หนูดีบอก
       “แต่เมื่อกี้ตายไปแล้วนะคะ” ช้อยบอก
       “ไม่ใช่หรอกค่ะ”
       จินดาลืมตาตื่นขึ้นอย่างมึนงง
       “ชั้นยังไม่ตายหรอก แม่ช้อย” จินดาพูด
       ช้อยหันไปมอง “หา พี่จิน”
       “นี่พี่จินยังไม่ตายหรือ” ภาดีใจ
       “พี่จินฟื้นแล้วหรือ” ใหญ่ถาม
       “ชั้นขอโทษนะพี่จิน พวกเราไม่น่าวางยาพี่จินเลย” ภาบอก
       “ชั้นยังตายไม่ได้หรอก ตราบใดที่ยังไม่เห็นหน้าลูก” จินดาพูด
       “หา...นี่พูดชัดขึ้นแล้วนี่” ช้อยว่า
       “เออใช่ หลังจากฟื้นพูดชัดขึ้นเยอะเลย” ใหญ่เห็นด้วย
       “พี่จินนะพี่จิน พวกเราตกใจกันใหญ่นึกว่าเสียพี่จินไปแล้วซะอีก”
       “ขอโทษนะคะ” หนูดีแทรกขึ้น “หนูว่าให้คุณป้าได้พักฟื้นซักนิดดีกว่านะคะ”
       “ไป ไป พวกเราให้พี่จินพักหน่อย” ใหญ่บอกเพื่อนๆ
       “เราอยู่ข้างนอกนะพี่จิน” ช้อยบอกจินดา
       “ไม่ต้องกลัวนะ พวกเราจะไม่ไปไหน จะอยู่กับพี่จินจนวันตาย” ภาพูด
       แล้วป้าทั้งสามก็เดินออกไป จินดาพูดกับหนูดี
       “ขอน้ำกินหน่อย”
       “ได้ค่ะ” หนูดีรินน้ำใส่แก้ว จินดามอง หนูดีป้อนน้ำให้ “ช้าๆนะคะคุณป้า”
       จินดาดื่มน้ำเสร็จ หนูดีหยิบทิชชู่มาซับปากให้
       “ขอบใจลูก” จินดาบอก
       “คุณป้าเป็นยังไงบ้างคะ แน่นหน้าอกมั้ยคะ”
       “ไม่จ้ะ” จินดายิ้มให้หนูดีแล้วเอ่ยถาม “หนูชื่ออะไร”
       “หนูดีค่ะ คุณป้านอนพักนะคะ” หนูดีจะเดินออกจากห้อง
       “เดี๋ยวจ้ะหนู”
       “มีอะไรคะ”
       “หนูเห็นลูกชายป้ามาเยี่ยมบ้างมั้ย”
       “ยังเลยค่ะ”
       “แล้วลูกสาวป้าล่ะ”
       “ไม่มีนะคะ”
       “แล้วลูกเขยล่ะคะ”
       “ยังไม่มาค่ะ แต่เดี๋ยวก็คงมา คุณป้าพักเถอะค่ะ” หนูดีบอก
       จินดาพยักหน้า หนูดีเดินออกไป จินดานึกถึงแดงแล้วก็แปลกใจ
       “แดงมันเป็นอะไร ทำไมไม่มาเยี่ยมเรา”
     
       ช้อยบอกกับเพื่อนๆ ที่หน้าห้องผู้ป่วย
       “พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”
       “เออ มัวตกใจช๊อคเรื่องพี่จิน เลยลืมกินข้าวเลย” ใหญ่คิดได้
       “ชั้นว่าไปกินชั้นบนกันมั้ย เค้าว่ามีศูนย์อาหารนะ” ภาชวน
       “แต่มันแพงนะ ชั้นว่าไปกินข้างโรงพยาบาลเถอะ” ช้อยเสนอ
       “ไม่ต้องห่วงพี่ช้อย มื้อนี้ชั้นเลี้ยงเอง” ภาบอก
       “งั้นจะรอช้าทำไม ไปเลยน้องภา”
       แล้วทั้งสามก็ลุกเดินออกไป
     
       ลิฟต์เปิดออก คนไข้นอนอยู่บนเตียงรถเข็น บุรุษพยาบาลยืนอยู่ข้างๆ เตียง ป้าทั้งสามมอง
       “ไปได้มั้ยคะ” ใหญ่ถาม
       “เชิญครับ”
       ป้าทั้งสามเดินเข้าไปในลิฟต์ แล้วลิฟต์ก็ปิด
     
       ช้อยมองไปที่เตียงคนไข้แล้วก็ตกตะลึง
       “หา ..” ช้อยหันไปสะกิดเรียกภา “ภา”
       “อะไรพี่ช้อย” ภาถาม
       “ดูสิ” ช้อยชี้ไปที่เตียงคนไข้
       “ทำไม คนไข้ตายหรือ” ภาถาม
       “ไม่ใช่ ดูสิ”
       “ไม่เอา ชั้นไม่กล้าดู” ภาปิดตา
       “น้องใหญ่ดูสิ” ช้อยบอกใหญ่
       ใหญ่หันมองไปที่เตียงแล้วก็ตะลึง
       “หา .. ยัยแดง”
       “ใครนะ” ภาถาม
       “ก็หันมามองสิ” ช้อยบอก
       ภาหันมามองที่เตียง แดงลืมตามอง
       “แดง” ภาตกใจ
       แดงตกใจ “ป้าภา ป้าช้อย ป้าใหญ่”
       “นี่หนูเป็นอะไรเนี่ย” ภาถาม
       “นั่นสิ ทำไมต้องโกนหัวด้วยล่ะลูก” ใหญ่ถาม
       “หนูเป็นเนื้องอกในสมองค่ะ” แดงบอก
       “หมายความว่าที่หนูไม่ได้มาเยี่ยมแม่ก็เพราะ ...” ช้อยเริ่มเข้าใจ
       “หนูขอร้องนะคะคุณป้า อย่าเล่าให้แม่ฟังนะคะ เดี๋ยวท่านจะยิ่งเป็นห่วงไม่สบายหนัก” แดงบอก
       ช้อยรับคำ “จ้ะจ้ะ”
     
       ลิฟต์เปิดออก บุรุษพยาบาลจะเข็นเตียงที่แดงนอนอยู่ออก
       “ขอโทษครับ”
       “แล้วนี่จะไปไหนลูก” ภาถาม
       “ไปตรวจน่ะค่ะ อย่าบอกแม่นะคะ” แดงกำชับ
       ใหญ่รับคำ “จ้ะจ้ะไม่บอก”
       บุรุษพยาบาลเข็นเตียงออกไป แดงหันมาย้ำ
       “สัญญานะคะ”
       ช้อย ภาและใหญ่รับคำพร้อมกัน “จ้ะ สัญญา”
       บุรุษพยาบาลเข็นเตียงออกไป
       “นี่มันอะไรกันเนี่ยพี่ช้อย พี่จินก็ป่วยหนัก ยัยแดงดันมาเป็นเนื้องอกอีก” ภาตกใจ
       “นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรกัน” ช้อยว่า
       “แสดงว่าช่วงนี้พี่จินดวงตกมากนะ” ใหญ่บอก
       “เฮ้อ พูดแล้วกินข้าวไม่ลง” ภาพูด
       “แต่ชั้นกินลงนะ ชั้นหิวมาก” ช้อยว่า
     
       หมอกดดูภาพในจอคอมพิวเตอร์ ภาพCTสแกนสมองหลายภาพปรากฏขึ้น หมอกดดูแล้วถอนใจ กบกับแดงนั่งอยู่ในห้องตรงข้ามหมอ
       “ผลการตรวจเป็นยังไงบ้างครับ” กบถาม
       “ชิ้นเนื้อที่เราตรวจมันเป็นเนื้อร้ายครับ” หมอบอก
       “มะเร็งหรือคะ” แดงถาม
       “ครับ เป็นระยะเริ่มต้น”
       “แล้วมันอันตรายมากแค่ไหนครับคุณหมอ” กบถาม
       “ก็อันตรายนะครับ ในขั้นต้นนี่เราจะฉายรังสีดูก่อน”
       “มีโอกาสหายมั้ยคะ”
       “หมอยังยืนยันอะไรไม่ได้ แต่ยังนับว่าโชคดีที่เราตรวจเจอก่อน หมอว่าอย่าเพิ่งวิตกอะไรมาก เราค่อยๆรักษากันไป”
       “ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”
       แดงมองกบอย่างอึ้งๆ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา กบดึงภรรยาเข้ามากอด
       “ต้องหายแดง เชื่อพี่ แดงต้องหายเป็นปกติ”
       แดงพยักหน้าทั้งๆ ที่น้ำตารื้น
     
       ช้อย ภาและใหญ่เปิดประตูห้องพักของจินดาเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี จินดามองทั้งสามแล้วถามขึ้น
       “ไปไหนกันมา”
       “กินข้าวจ้ะพี่จิน” ช้อยตอบ
       “อร่อยมั้ย” จินดาถามต่อ
       “ก็พอกินได้ แต่สู้ฝีมือพี่จินไม่ได้หรอก” ภาหยอด
       “ใช่ แกงไก่ก็น้ำใสยังกะใส่หางกระทิ” ใหญ่ว่า
       “เอาไว้ให้ชั้นออกจากโรงพยาบาลก่อนจะแกงให้กิน” จินดาบอก “ใครมีโทรศัพท์มือถือ ขอยืมหน่อยซิ”
       “จะโทรหาใคร” ช้อยถาม
       “จะโทรหานังแดงซะหน่อย ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลไม่เห็นหน้ามันเลย”
       “แดงเค้าไม่ว่างหรอกพี่จิน” ช้อยบอก
       “แต่ชั้นเป็นแม่มัน จะตายอยู่รอมร่อ มันจะไม่มาดูหน่อยหรือ”
       “พี่จินนี่นะ พอพูดได้ก็ด่าลูกแล้ว แดงมันคงอยากมา แต่มาไม่ได้” ใหญ่ว่า
       “ทำไมจะมาไม่ได้ ผัวมันมัดขาไว้หรือไง ขอโทรไปด่ามันหน่อย”
       “อย่าไปด่ามันเลยพี่จิน ตอนนี้ตัวมันเอง ยังเอาตัวไม่รอดเลย” ภาหลุดปาก
       จินดาชะงัก “แดงมันเป็นอะไรยัยภา”
       ช้อยตีแขนภาทันที “ภา พูดอะไร”
       “แดงมันเป็นอะไรพี่ช้อย” จินดาถาม
       “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ช้อยบอก
       “ใช่ ไม่ได้เป็นอะไร ยัยภาเค้าหมายความว่าไหนจะลูก ไหนจะผัว ไหนจะงานที่ร้าน” ใหญ่พูด
       “ใช่ ใช่ ช่วงนี้เค้าว่าขายดีมากนะ ต้นไม้ที่ร้านไม่เหลือซักต้นเลย” ภารีบสนับสนุน
       “จริงหรือ” จินดาถาม
       “ใช่จ้ะ พี่จิน หลังน้ำท่วมคนเค้าก็มากวาดซื้อต้นไม้กัน” ช้อยบอก
       “แต่ถึงยังไง ชั้นก็อยากจะเจอมันซะหน่อย ขอยืมโทรศัพท์หน่อยแม่ใหญ่”
       ใหญ่มองโทรศัพท์ “ว้าย ของชั้นแบตหมด”
       “พี่ช้อยล่ะ” จินดาถาม
       “ของชั้นก็แบตหมด” ช้อยบอก
       “เมื่อกี้ชั้นเข้าส้วม เพิ่งทำตกลงไปในชักโครก” ภาบอก
       “เป็นงั้นไป ชั้นเลยไม่ได้โทรหายัยแดงเลย” จินดาเสียดาย
       ทันใดนั้นหนูดีก็เปิดประตูเข้ามา
       “หนูดีจ๋า ขอป้ายืมโทรศัพท์หน่อยได้มั้ยลูก” จินดาถาม
       “คุณป้าจะโทรหาใครหรือคะ”
       “จะขอโทรหาลูกสาวหน่อยจ้ะ”
       ช้อย ภา และใหญ่พูดพร้อมกัน “อย่าให้ค่ะคุณพยาบาล”
       หนูดีชะงัก จินดามองด้วยความสงสัย
       “ทำไม พวกแกห้ามชั้นทำไม” จินดาถาม
       “เปล่า ไม่มีอะไร” ช้อยปฏิเสธ
       “นี่ค่ะ” หนูดีส่งมือถือให้
       “ขอบใจมากนะจ๊ะ”
       จินดากดโทรออกหาแดง ทั้งสามป้ามองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด
     
       เสียงโทรศัพท์มือถือของกบดังขึ้น กบมองโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจ ส่วนแดงนอนอยู่บนเตียง
       “เบอร์ใคร” กบรับสาย “ฮัลโหล”
       จินดาพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องผู้ป่วย
       “กบหรือ”
       “แม่หรือครับ”
       “ใช่ ขอพูดสายกับแดงหน่อย”
       กบหันมาบอกแดง
       “แม่โทรมา”
       แดงชะงักมอง ก่อนจะพยักหน้าแล้วรับโทรศัพท์จากกบ
       “หวัดดีค่ะแม่”
       “นี่ ยัยแดงแกหายหัวไปไหน แม่เจ็บจะตาย ไม่เห็นแกมาเยี่ยม แม่เลย” จินดาว่า
       แดงพูดทั้งที่น้ำตาคลอ “หนูไปแล้วค่ะ แต่แม่หลับอยู่”
       “แต่แม่ถามพยาบาลเค้าบอกไม่เห็นแกมาเยี่ยม แล้วนี่แกอยู่ไหน”
       “อ๋อ หนูอยู่ร้านน่ะค่ะ”
       “แล้วเย็นนี้แกจะมาเยี่ยมแม่มั้ย”
       “เอ่อ หนูไปไม่ได้ค่ะ”
       “ทำไมล่ะ แกมีธุระอะไร แม่คิดถึงไตรตั้นนะ พาไตรตั้นมาหาแม่หน่อย”
       “ตั้นไปเข้าค่ายลูกเสือน่ะค่ะ”
       “แล้วแกจะมาเยี่ยมแม่เมื่อไหร่”
       “พรุ่งนี้แล้วกันนะแม่”
       “อืมม์” จินดาวางสายแล้วหันมาบอกเพื่อนๆ “นี่ไงพอเราโทรไปมันถึงบอกจะมาเยี่ยม”
       ป้าทั้งสามฝืนยิ้ม
       แดงวางสายแล้วน้ำตารื้น กบหันมาถามแดง
       “จะไปได้ไงแดง ถ้าแม่เจอแดงสภาพแบบนี้แม่ต้องรู้นะ”
       “พี่กบช่วยซื้อวิกให้หน่อยแล้วกัน ชั้นก็อยากไปเยี่ยมแม่ ชั้นคิดถึงแม่” แดงบอกแล้วก็ร้องไห้ กบพยักหน้ารับก่อนจะดึงแดงมากอดเพื่อปลอบใจ
     
       ลิฟต์ในโรงพยาบาลเปิดออก ธีระในชุดกัปตันเดินออกมา
       ธีระเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้ามา เขาเห็นหนูดีจากทางด้านหลังกำลังป้อนอาหารให้จินดาอยู่ จินดามองเห็นธีระก็ทักขึ้น
       “ธี ลูกแม่”
       “หวัดดีครับแม่”
       หนูดีหันมามอง ธีระเข้ามากอดแม่
       “แม่เป็นยังไงบ้าง”
       “แม่หายดีแล้วลูก แล้วลูกล่ะ”
       “ผมก็สบายดีครับ นี่แม่ทานข้าวอยู่หรือครับ”
       “จ้ะ”
       “มาครับ ผมป้อนให้ดีกว่า”
       หนูดีหันมาส่งชามข้าวต้มให้ธีระ
       “เชิญเลยค่ะ คุณป้าต้องทานให้หมดนะคะ แล้วนี่ยานะคะ” หนูดีหยิบยาส่งให้
       “จ้ะ ขอบใจนะ”
       หนูดีเดินออกไป ธีระตักข้าวป้อนแม่
       “มาครับแม่” จินดาอ้าปากรับข้าว “อร่อยมั้ยครับ”
       “อร่อยลูก”
       จินดาเคี้ยวข้าวแล้วมองธีระ ธีระตักป้อนอีก
       ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ประตูห้องเปิดออก แดงก้าวเข้ามา ธีระหันไปมองก็เห็นแดงใส่วิกผมสั้นอยู่ในชุดปกติเดินเข้ามากับกบ
       “แดง”
       แดงเดินเข้ามากอดจินดา
       “แม่”
       แดงน้ำตารื้น ธีระกับกบมอง
       “แกร้องไห้ทำไม แม่ยังไม่ตายซะหน่อย” จินดาว่า
       “หนูคิดถึงแม่” แดงบอก
       “หึ คิดถึง ถ้าแม่ไม่โทรไปแกก็ไม่มาเยี่ยม”
       “แดงมาทุกวันนะครับ แต่แม่หลับ” กบบอก
       “แกเหมือนกันเจ้ากบ ถ้าเมียไม่มาก็ไม่เห็นหน้า” จินดาว่า
       “อย่าไปว่าพี่กบเลยครับ” ธีระจับมือแดง “พี่แดงโอเคใช่มั้ย”
       แดงฝืนยิ้มแล้วพยักหน้า
       “วันนี้แม่ค่อยมีความสุขหน่อย ครอบครัวเราได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ขาดไตรตั้นคนเดียว แล้วไตรตั้นกลับจากค่ายเมื่อไหร่” จินดาถาม
       “อาทิตย์หน้าค่ะ” แดงตอบ
       “อาทิตย์หน้าแม่ก็กลับบ้านแล้ว” จินดาบอก
       “กินอีกคำนะครับแม่” ธีระตักข้าวป้อนอีก
       “แม่อิ่มแล้วลูก”
       “พี่แดงส่งยาให้แม่ที” ธีระขอ
       แดงหยิบยาหยิบน้ำส่งให้ “นี่ค่ะแม่ น้ำ”
       จินดาหยิบยาใส่ปาก จินดามองธีระกับแดงอย่างอุ่นใจ ธีระเหลือบมองกบก็เห็นกบสีหน้าไม่ดี